แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 61
1
ตำแหน่งสำคัญต่อการติดตั้งและการใช้งานผ้ากันไฟในโรงงานหรือไม่

ตำแหน่ง มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการติดตั้งและการใช้งานผ้ากันไฟในโรงงานครับ! ถือเป็นปัจจัยที่ชี้ขาดประสิทธิภาพสูงสุดของระบบป้องกันอัคคีภัยเลยทีเดียว การติดตั้งผ้ากันไฟในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้การลงทุนสูญเปล่า และไม่ได้ประโยชน์ในการป้องกันตามที่คาดหวัง

ทำไมตำแหน่งถึงสำคัญต่อการติดตั้งและการใช้งานผ้ากันไฟในโรงงาน?

การจำกัดวงของเพลิงไหม้ (Compartmentation):

วัตถุประสงค์: ผ้ากันไฟมีบทบาทสำคัญในการแบ่งพื้นที่โรงงานออกเป็นโซนย่อยๆ (fire compartments) เพื่อจำกัดไม่ให้ไฟลุกลามจากโซนหนึ่งไปยังอีกโซนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว

ความสำคัญของตำแหน่ง: หากตำแหน่งของผ้าม่านกันไฟ หรือผนังกันไฟชั่วคราว ไม่ได้กั้นพื้นที่เสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีช่องว่างที่ไฟสามารถเล็ดลอดผ่านได้ง่าย การจำกัดวงของไฟก็จะไม่สำเร็จ ทำให้ไฟลุกลามได้อย่างรวดเร็ว


การป้องกันแหล่งกำเนิดประกายไฟ/ความร้อน (Source Protection):

วัตถุประสงค์: ในพื้นที่ที่มีงานเชื่อม ตัด เจียร หรือเครื่องจักรที่มีความร้อนสูง ผ้ากันไฟจะถูกใช้เพื่อป้องกันประกายไฟ สะเก็ดไฟ หรือความร้อนที่แผ่ออกมา

ความสำคัญของตำแหน่ง: หากผ้ากันไฟ (เช่น ผ้าม่านกันประกายไฟ, ผ้าห่มกันสะเก็ดไฟ) ไม่ได้ถูกติดตั้งในตำแหน่งที่ใกล้แหล่งกำเนิดมากพอ หรือไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่ที่ประกายไฟสามารถกระเด็นถึงได้ ก็จะไม่มีประโยชน์ในการป้องกันการติดไฟของวัสดุไวไฟที่อยู่ใกล้เคียง


การป้องกันอันตรายจากการสัมผัส (Contact Protection):

วัตถุประสงค์: การหุ้มฉนวนท่อหรือเครื่องจักรที่ร้อนจัด เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานสัมผัสโดยตรงและเกิดการบาดเจ็บ

ความสำคัญของตำแหน่ง: ผ้าหุ้มต้องติดตั้งในตำแหน่งที่ปิดคลุมพื้นผิวที่ร้อนทั้งหมดอย่างมิดชิด หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งของผิวที่ร้อนโผล่ออกมา ก็ยังคงเป็นอันตรายอยู่

การควบคุมการไหลของควัน (Smoke Control):

วัตถุประสงค์: นอกจากไฟแล้ว ควันพิษยังเป็นอันตรายร้ายแรงในสถานการณ์เพลิงไหม้ ผ้ากันไฟบางประเภทที่ออกแบบมาเพื่อกั้นควัน จะต้องติดตั้งในตำแหน่งที่สามารถกั้นการไหลของควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่ง: ช่องว่างเล็กน้อยในการติดตั้งก็สามารถทำให้ควันเล็ดลอดและกระจายไปทั่วพื้นที่ได้ง่าย ทำให้การอพยพเป็นไปได้ยากขึ้น


ประสิทธิภาพด้านพลังงาน (Energy Efficiency):

วัตถุประสงค์: การหุ้มฉนวนท่อ/อุปกรณ์ร้อนเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน

ความสำคัญของตำแหน่ง: ฉนวนต้องหุ้มครอบคลุมจุดที่มีการสูญเสียความร้อนมากที่สุดอย่างถูกต้อง หากหุ้มไม่ครบ หรือมีช่องว่าง ความร้อนก็ยังคงรั่วไหล ทำให้ไม่ประหยัดพลังงานเท่าที่ควร

ความสะดวกในการปฏิบัติงานและการเข้าถึง (Operational Convenience & Accessibility):

ความสำคัญของตำแหน่ง: ตำแหน่งการติดตั้งต้องไม่ขัดขวางการทำงานปกติของเครื่องจักร การบำรุงรักษา หรือการเคลื่อนย้ายวัสดุและพนักงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าถึงได้ง่ายในกรณีฉุกเฉิน

ตัวอย่าง: ผ้าม่านกันไฟควรติดตั้งในตำแหน่งที่ไม่กีดขวางทางเดินหรือการขนส่งวัสดุเมื่อไม่ได้ใช้งาน

ตัวอย่างความสำคัญของตำแหน่ง:
ผ้าม่านกันประกายไฟในห้องเชื่อม: หากแขวนสูงเกินไป หรือไม่กว้างพอที่จะคลุมพื้นที่ที่ประกายไฟกระเด็นถึง ก็อาจเกิดเหตุไฟไหม้ในบริเวณใกล้เคียงได้

ฉนวนหุ้มท่อไอน้ำ: หากหุ้มไม่มิดชิดตรงข้อต่อ หรือวาล์ว ความร้อนก็จะยังรั่วไหลออกมา ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและยังคงเป็นอันตรายต่อผู้สัมผัส

ม่านกันไฟในอาคาร: หากไม่ได้ติดตั้งตรงตามแนวกันไฟของโครงสร้างอาคาร หรือมีช่องว่างระหว่างม่านกับผนัง/พื้น ไฟก็สามารถลามผ่านได้ ทำให้ระบบกันไฟโดยรวมไม่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้น การติดตั้งผ้ากันไฟในโรงงานจึงไม่ใช่แค่การ "ติด" แต่เป็นการ "วางแผนตำแหน่ง" อย่างรอบคอบ โดยต้องอาศัยความเข้าใจในกระบวนการผลิต สภาพแวดล้อมความเสี่ยง และมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อให้ผ้ากันไฟทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันได้อย่างแท้จริงครับ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและวิศวกรผู้ชำนาญในการติดตั้งจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามครับ

2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


3
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


4
บริการด้านอาหาร: อาหารบำรุงตับ กำจัดพิษ

 การมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุขภาพแข็งแรงนั้นต้องขึ้นอยู่กับสุขภาพของตับเป็นสำคัญเราจึงต้องบำรุงตับ จะเห็นได้ว่าตับมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อดูแลให้ตับมีสุขภาพดีเสมอและพร้อมทำงานได้อย่างเต็มที่ วิธีง่ายๆ ด้วยการเสริมสุขภาพตับนั้นคือ การเลือกรับประทานที่มีประโยชน์ต่อและเสริมการทำงานต่อตับ โดยตับจะมีหน้าที่ควบคุมร่างกายให้สมดุล ขจัดสารพิษออกจากเลือด และสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรค นอกจากนี้ยังเก็บสารอาหารและสร้างน้ำดีซึ่งจำเป็นในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร

ดังนั้น เราทุกคนจะต้องระมัดระวังไม่ให้ตับเกิดอันตราย ซึ่งถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับตับขึ้นมาแล้วละก็ นั่นหมายความว่า ระบบในร่างกายจะทำงานผิดปกติแน่นอน ฉะนั้น ก่อนที่จะตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อโรคตับ ไม่ว่าจะเป็นตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ เราควรบำรุงดูแลตับให้แข็งแรง ซึ่งทางหนึ่งที่จะสามารถเสริมกำลังให้ตับแข็งแรงได้ ก็คือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงอาหารที่ช่วยบำรุงตับ ช่วยป้องกันตับของเราไม่ให้เกิดความผิดปกติ แถมยังเป็นอาหารที่ประโยชน์ช่วยในเรื่องของการบำรุงร่างกายในด้านอื่นๆด้วย

 สำหรับอาหารบำรุงตับอย่างแรกเลยก็คือ บล็อกโคลี ถือเป็นผักชั้นดีที่หาซื้อได้ง่ายและให้ประโยชน์ต่อตับในระดับสูง เพราะมีทั้งวิตามินซีและซัลเฟอร์รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์ที่ช่วยล้างพิษให้กับตับ เหมาะนำมาผัด ลวกจิ้มน้ำพริก หรือรับประทานแบบสดๆ ได้เช่นกัน นอกจากนี้ บล็อกโคลียังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยสารต้านอนุมูลอิสระจากบร็อคโคลี จะเข้าไปลดการเสื่อมสภาพของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งร่างกายเราจะมีการอักเสบน้อยลง

ความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง ก็จะน้อยลงด้วย ต่อมาคือ เห็ด ที่มีคุณสมบัติช่วยล้างสารพิษ ลดไขมันที่สะสมอยู่ในตับและกระแสเลือด อีกทั้งยังช่วยต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็งร้าย ต้านอนุมูลอิสระ การเกิดซีสต์ ถุงน้ำ และเนื้องอก ทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวได้อีกต่างหาก โดยการรับประทานเห็ดเพื่อบำรุงตับ อาจนำเห็ด 3 ชนิดขึ้นไปมาปรุงเป็นซุปเห็ดเพื่อสุขภาพ หรือจะใส่สาหร่ายทะเลเพิ่มรสชาติเข้าไปด้วยก็จะยิ่งได้คุณค่าทางสารอาหารเยอะเลยทีเดียว ต่อมาก็คือ เครื่องเทศ จำพวก กระเทียม พริกไทย หอมแดง

นับเป็นวัตถุดิบอาหารไทยที่มีติดครัวทุกบ้าน โดยกระเทียมจะมีสารไดแอลลิลซัลไฟด์และซัลเฟอร์ที่ช่วยในการล้างพิษตับ ส่วนพริกไทยเป็นเครื่องเทศที่มีสารเบต้าคริปโทแซนทินที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระให้ตับ และหอมแดงมีทั้งซัลเฟอร์และสารเคอร์ซีทีน ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ นอกจากนี้ ผักอย่างแครอท ซึ่งเป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินหลากชนิด ทั้งวิตามินเอ, บี 1, บี 2, ซี, ดี และวิตามินเค รวมทั้งกรดโฟลิก ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี และทองแดง เป็นอาหารที่มีฤทธิ์อุ่น
ช่วยบำรุงตับ บำรุงเลือด และช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้ด้วย หรือจะรับประทานอาหารจำพวกผักใบเขียว อย่างผักโขม ผักกาดหอม รวมถึงผักใบเขียวชนิดอื่น ๆ มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดโลหะหนักในตับและช่วยชะล้างสารเคมีที่สะสมอยู่ในตับ โดยเฉพาะสารเคมีประเภทยาฆ่าแมลงที่ร่างกายมักจะได้รับจากการบริโภคอาหาร แต่ทั้งนี้เราก็ควรเลือกรับประทานผักที่ปลอดสารพิษจริง ๆ เพื่อความปลอดภัย รวมไปปถึงการรับประทานสมุนไพรอย่าง ขมิ้นชัน ถ้าต้องการขับพิษสะสมในตับ ถือว่าขมิ้นชันช่วยได้อย่างแน่นอน นอกจากจะช่วยขับพิษสะสมในตับแล้ว สรรพคุณของขมิ้นชันยังช่วยบำรุง ฟื้นฟู และล้างสารพิษออกจากตับได้อีกด้วย

 อย่างไรก็ตาม เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกาย และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย

5
Doctor At Home: บรูเซลโลซิส (Brucellosis)

บรูเซลโลซิส (brucellosis/undulant fever/Mediterranean fever)* เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดในสัตว์เลี้ยง (เช่น โค กระบือ แพะ แกะ อูฐ หมู) สุนัข สัตว์แทะ สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม (วาฬ โลมา) สัตว์ป่า (กระบือป่า กระต่ายป่า สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า) ซึ่งสามารถติดต่อมาสู่คนได้

โรคนี้พบได้ประปราย ซึ่งมักพบในกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (เช่น คนงานในโรงเลี้ยงสัตว์หรือโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล) หรือบริโภคเนื้อสัตว์และนมที่ติดเชื้อ

ในบ้านเรามีผู้รายงานผู้ป่วยโรคนี้จากการดื่มนมแพะ และการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงแพะ) ในจังหวัดราชบุรี (ปี พ.ศ.2546) สตูล (ปี พ.ศ.2546-2547) และกาญจนบุรี (ปี พ.ศ.2548 และ 2549)

* โรคนี้มีความร้ายแรง มีการนำเชื้อบลูเซลลาไปผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ เช่นเดียวกับแอนแทรกซ์

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บรูเซลลา (Brucella) ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ย่อย คนเราสามารถติดโรคจากสัตว์ได้หลายทาง ได้แก่

    สัมผัสสิ่งปนเปื้อน น้ำนม เลือด รก น้ำเมือกในอวัยวะเพศของสัตว์เพศเมีย น้ำเมือกตามตัวลูกสัตว์ที่คลอดออกมาใหม่ ๆ มูลหรือปัสสาวะสัตว์ เชื้อโรคจะเข้าทางบาดแผลหรือรอยถลอก
    กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ หรือนมสัตว์ (รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ไอศกรีม เนยแข็ง) ที่ติดเชื้อ โดยไม่ได้ปรุงให้สุก หรือผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ
    หายใจสูดเอาฝุ่นหรือละอองของสิ่งคัดหลั่ง น้ำนมที่ปนเปื้อนเชื้อโรคในขณะรีดนมในคอกสัตว์
    ถูกเข็มฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สัตว์ทิ่มแทง

ระยะฟักตัว ระบุได้ไม่ค่อยแน่นอน อาจเป็นตั้งแต่ 1 สัปดาห์ จนถึงนานกว่า 2 เดือน (ทั่วไปประมาณ 1-2 เดือน)

อาการ

มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไปแบบเรื้อรังมากกว่าเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อย คือ มีไข้สูง ๆ ต่ำ ๆ แบบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ไม่แน่นอน (อาจมีไข้ 1-3 สัปดาห์ สลับกับไม่มีไข้ 1-3 วัน) ร่วมกับอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกายทั่วไป มึนซึม หนาวสั่น เหงื่อออกมาก ไอ เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด

ระยะการเจ็บป่วยอาจนานหลายวันหลายเดือน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนานเป็นปี หรือนานกว่า

ในรายที่ติดเชื้อทางอาหารการกิน อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเดิน หรือท้องผูก ปวดหลัง ปวดข้อ

บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการชัดเจนก็ได้

ภาวะแทรกซ้อน

เชื้อบรูเซลลาสามารถเข้ากระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะแทบทุกส่วน ก่อให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ ขึ้น

ที่พบบ่อย คือ การอักเสบของกระดูกและข้อ อาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ข้ออักเสบ (ซึ่งมีลักษณะปวดและบวม ที่บริเวณข้อเข่า สะโพก ข้อเท้า ข้อมือ เพียง 1 ข้อ หรือพร้อมกันหลายข้อ) การอักเสบที่กระดูกบริเวณเชิงกราน (sacroileitis) และข้อสันหลังอักเสบ (spondylitis)

ภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น อัณฑะและท่อนำเชื้ออักเสบ (epididymo-orchitis) สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปลายประสาทเสื่อม (peripheral neuropathy) ตับอักเสบ ฝีตับ ถุงน้ำดีอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) เยื่อตาอักเสบ ม่านตาอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) ผื่นที่ผิวหนัง (erythema nodosum) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ ได้แก่ เยี่อบุหัวใจอักเสบ (endocarditis) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย มักเกิดกับลิ้นหัวใจเอออร์ติก (aortic valve) และต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอย่างเร่งด่วน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ส่วนใหญ่จะพบมีไข้ ตับโต ม้ามโต บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึง ต่อมน้ำเหลืองโต ข้ออักเสบ (ข้อบวมและปวด) อัณฑะอักเสบ

ถ้าป่วยนานกว่า 3-6 เดือน จะพบอาการซูบผอมจากการขาดอาหาร

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจมีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคทางจิตประสาท

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการทดสอบทางน้ำเหลือง (agglutination test, ELISA) การตรวจด้วยวิธี polymerase chain reaction (PCR) การเพาะเชื้อจากเลือด ไขกระดูก น้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid) หรือน้ำในข้อ (synovial fluid) การตรวจเลือดมักพบเม็ดเลือดขาวต่ำ (โดยมีสัดส่วนของลิมโฟไซต์สูง) เกล็ดเลือดต่ำ เอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูงเล็กน้อย บางรายอาจต้องตรวจชิ้นเนื้อตับ (liver biopsy) เอกซเรย์ปอดและกระดูกสันหลัง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

การรักษา ที่สำคัญคือให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกัน เช่น ดอกซีไซคลีน ร่วมกับไรแฟมพิซิน นาน 6 สัปดาห์ ในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ให้โคไตรม็อกซาโซลร่วมกับไรแฟมพิซิน หรืออะมิโนโกลโคไซด์ (เช่น เจนตาไมซิน)

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลให้ยาปฏิชีวนะร่วมกัน 3-4 ชนิด และให้นานกว่า 6 สัปดาห์

ในรายที่เป็นฝีตับ อาจต้องทำการระบายหนองออก

ในรายที่มีภาวะผิดปกติของลิ้นหัวใจอาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

ผลการรักษา นับว่าได้ผลดี อาการไข้และอาการอื่น ๆ มักจะทุเลาหลังกินยาได้ 4-14 วัน แต่ถ้ากินยาไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดยาก่อนกำหนดเวลา ก็อาจมีอาการกำเริบซ้ำได้อีกประมาณร้อยละ 30 โดยทั่วไปแพทย์จะติดตามผลการรักษาเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี

ในรายที่มีเยื่อบุหัวใจอักเสบร่วมด้วยมักมีอัตราตายค่อนข้างสูง

ในรายที่ไม่ได้รับการรักษา มีอัตราตายโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นสัปดาห์ ๆ ร่วมกับน้ำหนักลด ข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ หรือมีไข้ร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน (หลังกินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์หรือนมสัตว์ที่ไม่ได้ทำให้สุกหรือทำให้ปลอดเชื้อ) ซึ่งพบในผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีคนหรือสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคบรูเซลโลซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 6 สัปดาห์) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 4-14 วัน หรือหลังจากทุเลาแล้วกลับมีไข้กำเริบใหม่
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    ข้ออักเสบ หรืออัณฑะอักเสบ
    มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง
    มีไข้ร่วมกับปวดท้อง ตาเหลืองตัวเหลือง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบรูเซลโลซิสในสัตว์เลี้ยง (โค กระบือ แพะ แกะ หมู)

2. ถ้าสงสัยว่าสัตว์เลี้ยงเป็นโรคนี้ เช่น สัตว์ในคอกมีไข้ ซึม เต้านมอักเสบ ข้อขาอักเสบ เยื่อหุ้มข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ ขาหลังเป็นอัมพาต สัตว์แท้งลูกบ่อย ๆ (โรคนี้มีชื่อเรียกว่า โรคแท้งติดต่อในสัตว์) เป็นหมัน ให้น้ำนมน้อยลง เป็นฝีตามที่ต่าง ๆ ลูกที่คลอดออกมาไม่แข็งแรง เป็นต้น ก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ ถ้าเป็นโรคนี้ก็ควรกำจัดทิ้ง

กรณีสัตว์แท้งลูก ควรเก็บลูกสัตว์ที่แท้งและรกส่งตรวจหาสาเหตุของโรค

3. หมั่นตรวจสอบการติดเชื้อในฝูงสัตว์เลี้ยงด้วยการตรวจเลือดและน้ำนม ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อ ควรทำการคัดแยกและทำลาย

4. ผู้ที่ทำงานในฟาร์ม (โดยเฉพาะฟาร์มแพะ) ควรป้องกันไม่ให้สัมผัสถูกเชื้อโรคโดยตรง เช่น

    ขณะทำงานควรสวมถุงมือยางชนิดหนาและทนทาน สวมหน้ากากปิดปากและจมูก ใส่ชุดกันเปื้อน
    ระวังอย่าให้เข็มฉีดยาหรือเจาะเลือดทิ่มตำ
    ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ภายหลังการสัมผัสถูกน้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากอวัยวะสืบพันธุ์  เลือด น้ำเหลือง มูลสัตว์ รกและลูกสัตว์ที่แท้ง

5. ถ้าถูกเข็มฉีดวัคซีนโรคนี้ทิ่มต่ำเข้าโดยบังเอิญ ควรรีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อทันที และควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาป้องกัน แพทย์จะให้กินดอกซีไซคลีน 100 มก. วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับไรแฟมพิซิน 600-900 มก. วันละ 1 ครั้ง นาน 21 วัน

ถ้าวัคซีนบังเอิญเข้าตาควรรีบล้างออก และควรกินยาป้องกันนาน 4-6 สัปดาห์

6. หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก และนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อ (พาสเจอร์ไรซ์) การต้ม หรือการทำให้สุกด้วยความร้อนวิธีอื่น ๆ

7. เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วย แต่ต้องระวังอย่าสัมผัสถูกหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วย หนองและเลือดของผู้ป่วยที่ติดตามเสื้อผ้าหรือบริเวณต่าง ๆ ต้องผ่านการทำลายเชื้อ

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถึงแม้พบได้ไม่บ่อย แต่ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการไข้เรื้อรังร่วมกับน้ำหนักลด ข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ หรือการอักเสบของอวัยวะหลายส่วน ก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคบรูเซลโลซิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้

นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไม่ชัดเจน คือมีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจน อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคจิตประสาท (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือนอนไม่หลับร่วมด้วย)

ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว อย่าลืมถามประวัติการทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะโค กระบือ แพะ หมู) หรือการบริโภคนมวัวหรือนมแพะที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก

2. โรคนี้ติดต่อจากสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ การติดจากคนสู่คนเกิดขึ้นได้น้อยมาก จะติดได้ก็โดยการสัมผัสถูกหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วยเท่านั้น

6
การทำอาหารของคุณให้กลายเป็น อาชีพเสริม ที่ยั่งยืน และขายดีได้

การเปลี่ยนทักษะการทำอาหารของคุณให้กลายเป็นอาชีพเสริมที่ยั่งยืนและขายดีนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการจัดการอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับและแนวทางที่จะช่วยให้คุณสร้างอาชีพเสริมจากการทำอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. ค้นหาความถนัดและเอกลักษณ์:

สำรวจทักษะและความสามารถ:
พิจารณาว่าคุณมีความถนัดหรือความเชี่ยวชาญในอาหารประเภทใด เช่น อาหารไทย อาหารตะวันตก ขนมหวาน หรือเครื่องดื่ม
ประเมินทักษะที่คุณมีและทักษะที่คุณต้องการพัฒนาเพิ่มเติม

สร้างเอกลักษณ์:
คิดค้นสูตรอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพและสดใหม่
ใส่ใจในรายละเอียดและรสชาติของอาหาร

2. วางแผนธุรกิจ:

กำหนดกลุ่มเป้าหมาย:
ระบุกลุ่มลูกค้าที่คุณต้องการเข้าถึง
ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

สร้างแบรนด์:
พัฒนาชื่อ โลโก้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์
สร้างเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าจดจำ

เลือกช่องทางการขาย:
พิจารณาช่องทางการขายที่เหมาะสม เช่น ออนไลน์ ออฟไลน์ หรือผสมผสาน
เลือกแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เหมาะสม เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือตลาดออนไลน์

กำหนดราคา:
กำหนดราคาที่เหมาะสมกับต้นทุนและตลาด
พิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพสินค้า บริการ และคู่แข่ง

วางแผนการตลาด:
กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการของคุณ
ใช้ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เช่น โซเชียลมีเดีย การตลาดผ่านเนื้อหา หรือการตลาดผ่านอีเมล

3. สร้างความแตกต่างและคุณภาพ:

ความหลากหลาย:
นำเสนอเมนูอาหารที่หลากหลายและน่าสนใจ
เพิ่มเมนูพิเศษหรือเมนูตามฤดูกาล
รับฟังความคิดเห็นและปรับปรุงเมนูตามความต้องการของลูกค้า

บรรจุภัณฑ์:
เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาด ปลอดภัย และสวยงาม
ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สะดวกต่อการรับประทานและขนส่ง

รูปภาพและวิดีโอ:
ถ่ายภาพอาหารให้สวยงาม น่ารับประทาน
ทำวิดีโอแนะนำเมนูหรือขั้นตอนการทำอาหาร

4. การตลาดและบริการ:

ช่องทางออนไลน์:
สร้างเพจหรือเว็บไซต์เพื่อโปรโมทร้านค้า
ใช้โซเชียลมีเดียในการโฆษณาและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
เข้าร่วมแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มช่องทางการขาย

โปรโมชั่นและส่วนลด:
จัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่
มอบส่วนลดสำหรับลูกค้าประจำ
สร้างโปรแกรมสะสมแต้มหรือบัตรสมาชิก

บริการลูกค้า:
ใส่ใจในการบริการและตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
รับฟังความคิดเห็นและแก้ไขปัญหาของลูกค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ

การตลาดปากต่อปาก:
สร้างความประทับใจให้ลูกค้าเพื่อเกิดการบอกต่อ

5. การจัดการและควบคุม:

การจัดการสต็อก:
จัดการสต็อกวัตถุดิบให้มีประสิทธิภาพ
ลดการสูญเสียและควบคุมต้นทุน

การจัดส่ง:
วางแผนการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและตรงเวลา
เลือกใช้บริการจัดส่งที่น่าเชื่อถือ

การเงิน:
จัดการรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์ผลกำไรและปรับปรุงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ความสะอาด:
รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

สร้างเรื่องราวและเอกลักษณ์ของร้านค้า
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์
พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

การสร้างอาชีพเสริมจากการทำอาหารให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

7
ตรวจอาการฝีคัณฑสูตร (Anal Fistula)

ฝีคัณฑสูตร (Anal Fistula) คือ โรคที่เกิดจากการเชื่อมกันระหว่างผิวหนังบริเวณใกล้ทวารหนัก กับทวารหนัก โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่จากการติดเชื้อที่ต่อมใกล้ทวารหนัก ซึ่งมีการติดเชื้อซ้ำและเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดเป็นทางเชื่อมที่ต้องระบายออกมาทางผิวหนังใกล้ทวารหนัก มีลักษณะเป็นโพรงใต้ผิวหนังเชื่อมต่อกับต่อมที่เกิดการติดเชื้อ โดยฝีคัณฑสูตรมักจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด

อาการของฝีคัณฑสูตร
ผู้ที่เป็นฝีคัณฑสูตรอาจพบว่าตนเองมีอาการดังต่อไปนี้

    ผิวหนังบริเวณรอบ ๆ ทวารหนักเกิดการระคายเคือง
    มีอาการปวดตุบ ๆ บริเวณทวารหนักซึ่งจะปวดมากเวลานั่ง ขยับตัว มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ หรือไอ
    มีกลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณใกล้ทวารหนัก
    มีเลือดหรือหนองออกมาเวลาอุจจาระ
    มีอาการบวม แดงและกดเจ็บบริเวณผิวหนังรอบทวารหนัก
    ในรายที่เกิดโพรงหนองอาจมีไข้ และหนาวสั่น
    รู้สึกอ่อนเพลีย
    ในบางรายจะเกิดความผิดปกติหรือลำบากในการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้
    ท้องผูก

หากผู้ป่วยพบว่าตนเองมีอาการต่าง ๆ ดังข้างต้นและเป็นอย่างต่อเนื่อง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

สาเหตุของฝีคัณฑสูตร
ฝีคัณฑสูตรมักมีสาเหตุจากการเกิดฝีที่ทวารหนักซึ่งไม้ไดรับการรักษาหรือฟื้นฟูอย่างเหมาะสมหลังจากที่หนองได้ระบายออกไปแล้ว

สาเหตุอื่น ๆ ที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่

    โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis) เป็นโรคที่ผนังในลำไส้โป่งพองขึ้นเป็นกระเปาะ จากนั้นจึงเกิดการอักเสบติดเชื้อ
    โรคโครห์น (Crohn's disease) เป็นโรคที่เกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารในระยะยาว
    การอักเสบของต่อมเหงื่อ (Hidradenitis Suppurativa) เป็นภาวะทางผิวหนังที่ก่อให้เกิดหนองหรือแผลเป็นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
    การติดเชื้อ เช่น วัณโรค เอชไอวี (HIV) เป็นต้น
    ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดบริเวณใกล้กับทวารหนัก

การวินิจฉัยฝีคัณฑสูตร
การทราบถึงเส้นทางทั้งหมดของฝีคัณฑสูตรเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ แพทย์จะวินิจฉัยฝีคัณฑสูตรโดยเริ่มต้นจากการสอบถามอาการและประวัติภาวะทางลำไส้ของผู้ป่วย จากนั้นแพทย์อาจขอตรวจบริเวณทวารหนักและค่อย ๆ เอานิ้วสอดเข้าไปเพื่อตรวจสอบ โดยช่องเปิดที่บริเวณผิวหนังที่มีการอักเสบจะปรากฎเป็นสีแดง และอาจมีเลือดหรือหนองไหลซึมออกมา ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ง่าย

หากแพทย์คิดว่าผู้ป่วยเป็นฝีคัณฑสูตร จะส่งตัวผู้ป่วยไปยังศัลยแพทย์ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เพื่อทดสอบเพิ่มเติมและประเมินการรักษาที่เหมาะสม เพราะการหารูเปิดของฝีคัณฑสูตรภายในทวารหนักจะมีความซับซ้อนมากกว่า โดยแพทย์อาจใช้วิธีทดสอบต่อไปนี้เพื่อช่วยในการวินิจฉัย

    การตรวจร่างกายและตรวจรูทวารหนักซ้ำอีกครั้ง
    การใช้กล้องส่อง (Proctoscopy) ส่องดูภายในรูทวารหนัก โดยจะช่วยเปิดและขยายทางเดินบริเวณรูทวารให้ตรวจได้ง่ายขึ้นเมื่อมองด้วยตาเปล่า
    การตรวจอัลตราซาวด์
    การเอกซเรย์พิเศษ (Fistulography) เป็นการเอกซเรย์หลังจากที่ได้ฉีดสารเพิ่มความคมชัดภาพ
    การตรวจระบบทางเดินอาหารโดยการส่องกล้องที่ติดอัลตราซาวด์ (Endoscopic Ultrasound) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างรายละเอียดภาพของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักและโครงสร้างอื่น ๆ ของอุ้งเชิงกราน
    การตรวจเอกซ์เรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอ็มอาร์ไอ (Magnetic Resonance Imaging: MRI)  ซึ่งจะมีประโยชน์ในกรณีที่รอยโรคมีความซับซ้อน เช่น รูเปิดของรอยโรคมีหลายตำแหน่งหรืออาจใช้ในกรณีที่หาจุดที่เป็นฝีคัณฑสูตรได้ยาก
    การตรวจ CT Scan (Computerized Tomography)

การรักษาฝีคัณฑสูตร
การรักษาฝีคันฑสูตรขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความซับซ้อน เป้าหมายของการรักษาคือเพื่อรักษาให้หายขาด ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และป้องกันกล้ามเนื้อหูรูดเกิดความเสียหาย เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหูรูดอาจทำให้เกิดปัญหาในการกลั้นอุจจาระ สำหรับทางเลือกในการรักษา มีดังนี้

    การผ่าฝีคัณฑสูตร (Fistulotomy) วิธีนี้มักใช้กับผู้ป่วยที่โรคฝีคัณฑสูตรไม่ซับซ้อน
    เป็นวิธีที่ศัลยแพทย์จะผ่าเปิดตลอดแนวรูทะลุของฝีคัณฑสูตร และขูดเอาเนื้อเยื้อที่ติดเชื้อออกให้หมด ภายหลังที่ฟื้นฟูแล้วอาจจะทำให้เกิดแผลเป็น
    การผ่าตัดวิธี Ligation of the Intersphincteric Fistula Tract: LIFT เป็นวิธีที่จะใช้ผ่าตัดฝีคัณฑสูตรที่ลึกหรือมีความซับซ้อน โดยวิธี LIFT จะเป็นวิธีที่ช่วยให้ไม่เกิดความเสียหายต่อกล้ามเนื้อหูรูดของทวารหนัก
    วิธี Advancement Rectal Flap เป็นวิธีที่ศัลยแพทย์จะสร้างแผ่นเนื้อเยื่อจากผนังทวารหนักก่อนที่จะนำช่องเปิดภายในของฝีคัณฑสูตรออก โดยผนังเนื้อเยื้อที่ถูกสร้างขึ้นมาจะนำมาใช้ในการซ่อมแซม และวิธีนี้จะช่วยลดจำนวนการนำเอากล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักออกได้
    ขั้นตอนการใช้หมุดใส่แผล (Seton) โดยนำหมุดใส่แผลใส่ทิ้งไว้ในรูทะลุของฝีคัณฑสูตรไว้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ เพื่อช่วยในการฟื้นฟูก่อนที่จะมีขั้นตอนอื่น ๆ
    กาวไฟบริน (Fibrin Glue) และแท่งคอลลาเจน (Collagen Plug) ศัลยแพทย์จะจัดการชำระล้างช่องรูทะลุและเย็บปิดช่องเปิดภายใน จากนั้นจะใช้กาวไฟบรินฉีดเข้าไปทางช่องเปิดภายนอก ช่องรูทะลุของฝีคัณฑสูตรยังสามารถปิดได้ด้วยแท่งคอลลาเจน

ขั้นตอนการรักษาแต่ละชนิดจะมีผลดีและความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ผู้ป่วยควรปรึกษากับศัลยแพทย์ ในบางรายอาจไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลหลังการผ่าตัด แต่บางรายอาจจำเป็นซึ่งขึ้นอยู่กับตัวผู้ป่วย ความรุนแรงของโรค วิธีที่ใช้ในการรักษา และอื่น ๆ

ภาวะแทรกซ้อนของฝีคัณฑสูตร
ภาวะแทรกซ้อนของฝีคัณฑสูตรอาจเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัด ซึ่งคล้ายคลึงกันกับการผ่าตัดหลาย ๆ ชนิด โดยอาจมีความเสี่ยงดังต่อไปนี้

    การติดเชื้อ ซึ่งอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และบางรายที่มีความรุนแรงอาจจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
    การกลับมาเป็นซ้ำ ถึงแม้ว่าจะรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว ก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้
    เกิดความผิดปกติในการควบคุมการขับถ่ายหรือกลั้นไม่ได้ เป็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝีคัณฑสูตรหลายชนิด อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติที่รุนแรงจะพบได้น้อยมาก เพราะการผ่าตัดและรักษาจะช่วยป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว
    มีเลือดออกมาก
    มีอาการเจ็บปวดมาก บวมหรือมีหนองไหล
    มีไข้สูง
    คลื่นไส้
    ท้องผูก
    ปัสสาวะลำบาก
    เกิดรอยแผลเป็น

ระดับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของฝีคัณฑสูตรและวิธีที่ใช้ในการผ่าตัดรักษา ซึ่งผู้ป่วยควรปรึกษากับแพทย์ถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

การป้องกันฝีคัณฑสูตร

เนื่องจากฝีคัณฑสูตรไม่สามารถป้องกันได้ และควรได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยมีวิธีในการดูแลตนเองหลังจากการผ่าตัด ดังต่อไปนี้

    ภายหลังจากการผ่าตัด แพทย์จะให้ยาบรรเทาอาการปวดซึ่งมีทั้งชนิดฉีดและรับประทาน
    นอกจากนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานหรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมถึงผู้ป่วยบางรายที่อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ผู้ป่วยที่สุขภาพโดยรวมแข็งแรงดีอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
    โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะสามารถเคลื่อนไหวหรือรับประทานอาหารและดื่มน้ำได้ตามปกติ หลังจากฤทธิ์ของยาสลบหรือยาชาได้หมดลงแล้ว
    ผู้ป่วยมักจะต้องทำแผลจนกว่าแผลจะฟื้นฟู ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องให้พยาบาลช่วยในการเปลี่ยนผ้าปิดแผลและตรวจสอบสภาพแผลอย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปแผลจะใช้เวลาฟื้นฟูประมาณ 6 สัปดาห์
    ในระหว่างที่กำลังพักฟื้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้รับประทานยาที่ช่วยให้อุจจาระนิ่ม เพื่อให้ขับถ่ายสะดวกหรือช่วยบรรเทาอาการไม่สบายตัวจากกการเคลื่อนไหวของลำไส้
    อาจใส่ผ้าก๊อซแบบแผ่นพับหรือผ้าอนามัยช่วยป้องกันเลือดหรือหนองที่อาจระบายออกมาเปื้อนเสื้อผ้า

8
หมอประจำบ้าน: หัวใจวาย/หัวใจล้มเหลว (Heart failure/Congestive heart failure)

หัวใจวาย (หัวใจล้มเหลว ก็เรียก) หมายถึง ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจสูญเสียความสามารถในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ขาดออกซิเจน เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และอื่น ๆ

หัวใจวายเกิดได้ทั้งหัวใจห้องซ้ายและขวา แต่ส่วนใหญ่จะเกิดที่ห้องซ้าย ซึ่งมักจะทำให้มีหัวใจห้องขวาวายตามมาด้วย ภาวะหัวใจห้องซ้ายวาย (เช่น มีสาเหตุจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น) จะทำให้มีการคั่งของน้ำในปอด เรียกว่า “น้ำท่วมปอด” หรือ “ปอดบวมน้ำ (pulmonary edema)” ทำให้มีอาการหายใจลำบาก หรือหอบเหนื่อย

ส่วนภาวะหัวใจห้องขวาวาย ซึ่งส่วนใหญ่เกิดตามหลังหัวใจห้องซ้ายวาย และส่วนน้อยอาจเกิดจากสาเหตุบางอย่าง (เช่น ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือมีความผิดปกติของหัวใจห้องขวา) ก็จะมีการคั่งของน้ำที่ตับ (ทำให้ตับโต) ในช่องท้อง (ท้องบวม) และแขนขา (ทำให้แขนบวม เท้าบวม)

หัวใจวายส่วนใหญ่มักมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างเรื้อรัง เรียกว่า “หัวใจวายเรื้อรัง (chronic heart failure)”

ส่วนน้อยมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที เรียกว่า “หัวใจวายเฉียบพลัน (acute heart failure)” ที่พบบ่อย ได้แก่ หัวใจวายเฉียบพลันที่เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจมีลิ่มเลือดอุดตันโดยสิ้นเชิง เรียกว่า “หัวใจวายกะทันหัน (heart attack)” ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตอย่างกะทันหันได้

หัวใจวายถือเป็นภาวะร้ายแรง จำเป็นต้องได้รับยารักษาอย่างทันการณ์และต่อเนื่อง หากรักษาไม่ทันหรือขาดการรักษา มักจะมีอาการกำเริบรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

ภาวะนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 65 ปี) คนอ้วน ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด ผู้ที่มีประวัติภาวะหัวใจวายในครอบครัว

สาเหตุ

ภาวะหัวใจวายมีสาเหตุได้หลายประการ ที่พบได้บ่อย ได้แก่

    โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจวายที่พบได้บ่อยที่สุด
    ความดันโลหิตสูง หากปล่อยให้เป็นอยู่นาน ๆ ทำให้หัวใจทำงานหนัก จนกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาตัวขึ้น ส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการสูบฉีดเลือด
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด รวมทั้งไวรัสโควิด-19 ทำให้หัวใจห้องซ้ายวาย
    โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น หัวใจเต้นช้าเกินหรือเร็วเกิน หรือเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
    ภาวะลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว (เช่น โรคลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคหัวใจรูมาติก) หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart diseases มีภาวะผนังหัวใจหรือลิ้นหัวใจผิดปกติ) เป็นเหตุให้หัวใจทำงานหนัก และหัวใจวายได้
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy) ซึ่งกล้ามเนื้อหัวใจมีความหนาตัวแต่อ่อนแอลง ทำให้หัวใจวาย โรคนี้เกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์จัด การเสพสารเสพติด (เช่น ยาบ้า โคเคน) เป็นเวลานาน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะอ้วน ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือทำงานน้อย การติดเชื้อโควิด-19 โรคภูมิต้านตนเอง (เช่น เอสแอลอี ข้ออักเสบรูมาตอยด์) เป็นต้น
    เคมีบำบัดและรังสีบำบัด
    การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยารักษาโรคเบาหวาน-ไพโอกลิทาโซน (pioglitazone), ยารักษามาลาเรีย-คลอโรควีน (chloroquine), ยาต้านเชื้อรา-ไอทราโคนาโซล (itraconazole) เป็นต้น
    อื่น ๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์จัด การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกิน เบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (คอพอกเป็นพิษ) หรือต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (ภาวะขาดไทรอยด์) ภาวะไตวายเรื้อรัง ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง (เช่น ถุงลมปอดโป่งพอง) โรคหืด โลหิตจาง โรคเหน็บชา การติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดความผิดปกติทางโครงสร้าง (หลอดเลือดหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจ) และการทำงานของหัวใจ (หัวใจทำงานหนัก สูบฉีดเลือดไม่ได้หรือได้น้อยลง) ทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย

อาการ

ในระยะแรก มีอาการหอบเหนื่อยเฉพาะเวลาออกแรงมากหรือทำงานหนัก และอาจมีอาการไอและหายใจลำบากในตอนดึก ๆ ช่วงหลังเข้านอนแล้ว จนต้องลุกขึ้นนั่ง บางรายอาจมีอาการหอบคล้ายเป็นหืด ต้องลุกไปสูดหายใจที่ริมหน้าต่าง จึงรู้สึกค่อยยังชั่ว

บางรายอาจรู้สึกจุกแน่นอึดอัดในท้องหรือลิ้นปี่ ปวดบริเวณชายโครงด้านขวา มือบวม ข้อเท้าบวม

ในรายที่เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาจมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก

เมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น แม้ทำงานเพียงเล็กน้อยหรืออยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกหายใจลำบาก อ่อนเพลีย นอนราบไม่ได้ ต้องนอนหรือนั่งพิงหมอนสูง ๆ (หมอนหลายใบ) ปัสสาวะออกน้อย หรือบางรายอาจปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน เท้าบวมขึ้น และอาจมีท้องบวม (ท้องมาน) โดยมากมักจะไม่บวมที่หน้าหรือหนังตาเช่นที่พบในผู้ป่วยเป็นโรคไต

ผู้ป่วยมีน้ำหนักตัวขึ้นรวดเร็ว เนื่องจากมีภาวะน้ำเกิน (มีการคั่งของน้ำตามส่วนต่าง ๆ) ในร่างกาย

เมื่อเป็นรุนแรง อาจมีอาการไอรุนแรง และมีเสมหะเป็นฟองสีแดงเรื่อ ๆ อาจมีอาการตัวเขียว ริมฝีปากเขียว กระสับกระส่าย ใจสั่น และหากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการเรื้อรัง ซึ่งจะค่อย ๆ มีอาการมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป

ในรายที่มีภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการหอบหรือหายใจลำบาก แน่นอึดอัดในอก หายใจไม่ออก รู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ อ่อนล้ามาก บางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เท้าบวม ไอหรือหายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ เจ็บแน่นหน้าอก ใจสั่นหรือหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มือเท้าเย็น ริมฝีปากเขียว เป็นลม หมดสติ เป็นต้น

บางรายอาจมีภาวะช็อกร่วมด้วย (ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของหัวใจ เรียกว่า "cardiogenic shock" ภาวะนี้พบในผู้ป่วยหัวใจวายเฉียบพลันเพียงบางราย ซึ่งมักเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน)

อาการหัวใจวายเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากการกำเริบ (เกิดอาการทรุดหนัก) ของภาวะหัวใจวายเรื้อรังที่เป็นอยู่ก่อน ส่วนน้อยอาจมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันทันทีเป็นครั้งแรกหลังจากเกิดภาวะบางอย่าง เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอดหรือหลอดเลือดปอดอุดตัน (pulmonary embolism) เป็นต้น

อาการนอนราบไม่ได้ (นอนหมอนหลายใบ)

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย ได้แก่

    หัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัว (atrial fibrillation) ซึ่งอาจทำให้มีอันตรายร้ายแรงตามมาได้
    ลิ้นหัวใจพิการ เนื่องจากภาวะหัวใจวายทำให้หัวใจมีขนาดโตขึ้น และมีแรงดันภายในหัวใจมากขึ้น ส่งผลให้ลิ้นหัวใจเสื่อมลง ทำงานผิดปกติ
    ไตวายเรื้อรัง เนื่องจากภาวะหัวใจวาย ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง ไตค่อย ๆ เสื่อมลง จนถึงขั้นจำเป็นต้องทำการล้างไต (dialysis)   
    ตับแข็ง เนื่องจากภาวะหัวใจวาย ทำให้มีการคั่งของน้ำในตับ เกิดแรงกดดันต่อเซลล์ตับ ส่งผลให้เซลล์ตับถูกทำลาย จนสูญเสียการทำหน้าที่ กลายเป็นโรคตับแข็ง
    น้ำท่วมปอดหรือปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ทำให้มีอาการหายใจลำบาก
    ภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร แน่นท้อง (ซึ่งเป็นผลมาจากอาการท้องบวมอันเกิดจากมีน้ำคั่งในช่องท้อง) ทำให้กินอาหารได้น้อย ขาดสารอาหาร

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

หายใจหอบ นอนราบไม่ได้ หลอดเลือดที่คอโป่ง มือบวม เท้าบวม (กดที่ข้อเท้ามีรอยบุ๋ม) บางรายอาจมีท้องมาน

ชีพจรเต้นเร็ว บางครั้งอาจตรวจพบชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ

ใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมักจะฟังชัดที่บริเวณใต้สะบัก บางรายอาจได้ยินเสียงวี้ด (wheezing) คล้ายหืดร่วมด้วย

มักคลำได้ตับโต

บางรายใช้เครื่องฟังตรวจหัวใจอาจได้ยินเสียงหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือมีเสียงฟู่ (murmur) บางรายอาจมีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการอื่น ๆ แล้วแต่สาเหตุที่เป็น

ในรายที่มีภาวะช็อก จะตรวจพบอาการเหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาและเร็ว ความดันโลหิตต่ำ

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (ดูภาวะซีด, ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด, ทดสอบการทำงานของตับ ไต ต่อมไทรอยด์, ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด, อิเล็กโทรไลต์ เป็นต้น) ตรวจระดับ natriuretic peptide (BNP หรือ NT pro-BNP) ในเลือด (ซึ่งภาวะหัวใจวายจะพบว่าสูงกว่าปกติ) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiogram) ถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การสวนหัวใจหรือการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiogram) การตรวจชิ้นเนื้อหัวใจ (myocardial biopsy โดยการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อของกล้ามเนื้อหัวใจไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อวินิจฉัยชนิดของโรคกล้ามเนื้อหัวใจที่เป็นสาเหตุของหัวใจวาย) เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาดังนี้

1. รักษาอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เช่น แก้ไขภาวะการหายใจล้มเหลวด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจ การใช้เครื่องช่วยหายใจ และการให้ออกซิเจนตามข้อบ่งชี้, แก้ไขภาวะน้ำเกิน (การคั่งของน้ำในร่างกาย) ด้วยยาขับปัสสาวะ (เช่น furosemide) การจำกัดปริมาณน้ำที่ดื่มและปริมาณเกลือโซเดียมที่บริโภค, แก้ไขภาวะช็อกที่พบร่วมด้วย เป็นต้น

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาใช้ยาอื่น ๆ (เช่น ยาขยายหลอดเลือด ยากระตุ้นหัวใจ ยาหดเกร็งหลอดเลือด เป็นต้น) และวิธีรักษาอื่น ๆ ตามความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย

2. ให้ยารักษาเพื่อควบคุมภาวะหัวใจวาย มียาหลายชนิดให้เลือกใช้ ซึ่งมักจะใช้ร่วมกัน ดังนี้

(1) ยาต้านเอซ (ACE Inhibitors เช่น enalapril, lisinopril, captopril) หรือยาเออาร์บี (angiotensin II receptor blockers/ARBs เช่น losartan, valsartan) ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และหัวใจทำงานดีขึ้น

(2) ยาปิดกั้นบีตา (beta blockers เช่น bisoprolol, carvedilol) ช่วยให้หัวใจเต้นช้าลง ลดความดันโลหิต และหัวใจทำงานดีขึ้น

(3) ยาต้านแอลโดสเตอโรน (mineralocorticoid receptor antagonist/MRA เช่น spironolactone) โดยให้ยาในขนาดต่ำ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปรับสภาพโครงสร้างหัวใจที่ไม่พึงประสงค์ (เช่น การเกิดพังผืดในกล้ามเนื้อหัวใจ)

แพทย์จะให้ยาทั้ง 3 ชนิดข้างต้นร่วมกันเป็นพื้นฐาน* หากไม่ได้ผลเต็มที่ แพทย์จะพิจารณาปรับการใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยอาจให้ยากลุ่มอื่น (เช่น digoxin หรือ ivabradine) เพิ่มเติม หรืออาจใช้ยากลุ่มอื่นแทนยากลุ่มที่ (1) ข้างต้น เช่น ยากลุ่ม ARNI (ได้แก่ sacubitril/valsartan) สำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่ม (1) แล้วเกิดผลข้างเคียง หรือมีข้อห้ามใช้ แพทย์อาจพิจารณาให้ hydralazine ร่วมกับ isosorbide แทน*

สำหรับผู้ป่วยที่ได้ยารักษาอย่างเต็มที่แล้ว ยังไม่ทุเลาดี แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การใส่เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า (ICD/Implantable cardioverter defibrillator), การใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ (CRT/Cardiac resynchronization therapy)

3. รักษาโรคที่พบร่วมหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของหัวใจวาย อาทิ

    เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือภาวะโลหิตจาง ก็จะให้การรักษาด้วยยา
    ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ป่วยใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP)
    โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคหัวใจรูมาติก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
    โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ อาจต้องรักษาด้วยการทำบัลลูน หรือผ่าตัดบายพาส

4. สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจวายระยะสุดท้าย (เนื่องจากมีภาวะรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษา) แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดใส่เครื่องพยุงการทำงานของหัวใจ (mechanical circulatory support) หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ

ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของโรค หากได้รับการรักษาได้ทันการณ์และอย่างต่อเนื่อง ก็จะช่วยให้อาการทุเลา ลดภาวะแทรกซ้อน ลดการกลับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ป้องกันการเสียชีวิตได้ แต่หากมีภาวะหัวใจวายที่รุนแรง หรือมีสาเหตุจากโรคที่รุนแรง หรือไม่ได้ดูแลรักษาตามที่แพทย์แนะนำ ก็อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้บ่อยและต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำซาก หรือเสียชีวิตได้

*อ้างอิง สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. แนวทางเวชปฏิบัติเพื่อการวินิจฉัยและการดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว พ.ศ. 2562

การดูแลตนเอง

หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นภาวะหัวใจวาย เช่น มีอาการเหนื่อยง่าย และเท้าบวม ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

ควรไปพบแพทย์ด่วน ถ้ามีอาการหอบหรือหายใจลำบาก เจ็บหน้าอกรุนแรง หรือเป็นลม

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเองดังนี้

1. ดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ

2. ควรปฏิบัติตัว ดังนี้

    งดแอลกอฮอล์ และบุหรี่
    ห้ามตรากตรำงานหนัก
    ออกกำลังกายตามกำลังของตน เช่น การเดิน (โดยขอให้แพทย์ที่รักษาแนะนำวิธีที่เหมาะสม)
    กินอาหารที่มีประโยชน์ในการควบคุมโรค โดยเน้นผัก ผลไม้ ปลา เต้าหู้ ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ นมพร่องมันเนย และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสหวาน มัน และเค็ม รวมทั้งน้ำตาล เครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาล เนื้อแดง เนื้อติดมัน
    จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม และเกลือโซเดียมที่บริโภคต่อวัน (โดยขอคำแนะนำจากแพทย์ที่รักษาว่าควรเป็นเท่าไร) เพื่อลดบวมและป้องกันอาการกำเริบ
    ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน
    หมั่นตรวจดูอาการเท้าบวม และชั่งน้ำหนักเองที่บ้านทุกวัน หากพบว่ามีอาการเท้าบวมหรือน้ำหนักขึ้นเร็ว ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียด (เช่น ทำงานอดิเรก รดน้ำต้นไม้ ดูหนัง ฟังเพลง วาดภาพ ฝึกสมาธิ ชื่นชมธรรมชาติและศิลปกรรม เสวนากับผู้คนหรือร่วมกิจกรรมกลุ่มมิตรภาพบำบัด เป็นต้น)
    กินยาที่แพทย์สั่งใช้ให้ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยาและปรับการใช้ยาเอง (ทั้งชนิดยา และขนาดยา) โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน
    หลีกเลี่ยงการซื้อยา สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาใช้เอง เพราะอาจมีผลทำให้โรคกำเริบ หรือเกิดปฏิกิริยาด้านลบกับยาที่ใช้รักษาอยู่ก่อน
    ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามที่แพทย์แนะนำ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการเหนื่อยง่าย หายใจอึดอัดเวลานอนราบ ท้องบวม มือบวม หรือเท้าบวม อ่อนล้ามาก หรือน้ำหนักตัวขึ้นเร็ว
    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้สูง ปวดท้องมาก ท้องเดินมาก อาเจียนมาก หรือหน้าตาซีด เป็นต้น
    มีอาการนอนกรน และง่วงนอนตอนกลางวัน หรือสงสัยมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
    ขาดยา ยาหาย หรือมีอาการสงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

ควรปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย ดังนี้

    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ (ถ้าเลี่ยงไม่ได้ในบางโอกาส ควรดื่มในปริมาณเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ)
    บริโภคอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพ เน้นการกินผัก ผลไม้ ปลา เต้าหู้ ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ ให้มาก ลดละอาหารหวาน น้ำตาล ไขมัน อาหารเค็ม
    ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ
    ป้องกันหรือรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุของหัวใจวาย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น
    ควรป้องกันไม่ให้อาการหัวใจกำเริบซ้ำ โดยการดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ข้อแนะนำ

1. หัวใจวายเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจมีอาการกำเริบได้บ่อย และเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาจรุนแรงถึงทำให้เสียชีวิตกะทันหันหรือภายในเวลา 5-10 ปีหลังมีอาการครั้งแรก ผู้ป่วยจำเป็นต้องติดตามรักษากับแพทย์อย่างใกล้ชิด และดูแลรักษาตนเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ผู้ป่วยและญาติควรเรียนรู้ธรรมชาติของโรคและการดูแลรักษาตนเอง และนำไปปฏิบัติในการดูแลตนเองที่บ้านได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้มีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

2. ผู้ที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ถุงลมปอดโป่งพอง ไตวายเรื้อรัง โรคภูมิต้านตนเอง) หรือมีปัจจัยเสี่ยง (เช่น มีภาวะอ้วน สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้อย่างจริงจังและปรับพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงลง และควรสังเกตอาการด้วยตนเอง หากสงสัยว่ามีอาการหัวใจวายเกิดขึ้น ก็ควรไปปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจรักษาได้อย่างทันการณ์

9
ที่เที่ยวไทยใกล้รถไฟฟ้า สายสีเขียวอ่อน เที่ยวกรุงเทพ ประหยัด ไม่ง้อรถส่วนตัว!

กรุงเทพฯ มีที่เที่ยวใกล้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวอ่อน (สุขุมวิท) ที่เดินทางสะดวกและประหยัด ไม่ต้องง้อรถส่วนตัวหลายแห่งเลยค่ะ นี่คือบางส่วนที่น่าสนใจ:


สวนเบญจกิติ

จุดเด่น: สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง มีเส้นทางวิ่งและปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ บรรยากาศร่มรื่น เหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ

ค่าเข้า: ฟรี

การเดินทาง: ลง BTS สถานีอโศก (E4) หรือ MRT สถานีสุขุมวิท เดินเชื่อมต่อมายังสวนได้ไม่ไกล

สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)

จุดเด่น: สวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีพื้นที่สีเขียวกว้างขวาง ทะเลสาบให้ปั่นเรือเป็ด มีเลนจักรยาน สนามเทนนิส และอุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพฯ

ค่าเข้า: ฟรี (อาจมีค่าเช่าจักรยาน)

การเดินทาง: ลง BTS สถานีหมอชิต (N8) หรือ MRT สถานีสวนจตุจักร เดินต่ออีกเล็กน้อย หรือนั่งวินมอเตอร์ไซค์เข้าไป


สวนเฉลิมหล้า

จุดเด่น: สวนสาธารณะขนาดเล็กที่มีกำแพงล้อมรอบ โดดเด่นด้วยจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใส มีสนามเด็กเล่นและสนามกีฬาเล็กๆ

ค่าเข้า: ฟรี

การเดินทาง: ลง BTS สถานีราชเทวี (N1) หรือ สถานีพญาไท (N2) เดินไม่ไกล

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ (ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ)

จุดเด่น: สถานที่เรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ มีท้องฟ้าจำลองให้ชมดาว นิทรรศการวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย

ค่าเข้า: มีค่าเข้าชมในราคาประหยัด

การเดินทาง: ลง BTS สถานีเอกมัย (E7) เดินไม่ไกล


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร

จุดเด่น: วัดเก่าแก่ใจกลางเมือง ตั้งอยู่ระหว่างสยามพารากอนและเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นสถานที่สงบ ร่มรื่น เหมาะแก่การไหว้พระทำบุญและพักผ่อนจิตใจ

ค่าเข้า: ฟรี

การเดินทาง: ลง BTS สถานีสยาม (CEN) หรือ สถานีชิดลม (E1) เดินเชื่อมต่อได้เลย

ตลาดนัดจตุจักร (Chatuchak Weekend Market)

จุดเด่น: ตลาดนัดสุดสัปดาห์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสินค้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่เสื้อผ้า ของใช้ ของตกแต่งบ้าน ศิลปะ อาหาร ไปจนถึงสัตว์เลี้ยง เดินได้ทั้งวัน ของกินของใช้ราคาไม่แพง

ค่าเข้า: ฟรี (ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คือค่าอาหารและของที่ระลึก)

การเดินทาง: ลง BTS สถานีหมอชิต (N8) เดินถึงทันที

สถานที่เหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเที่ยวกรุงเทพฯ แบบประหยัดและสะดวกสบายโดยใช้รถไฟฟ้า BTS ค่ะ

10
การดูแลฟันเด็ก การจัดฟันเด็ก ในแต่ละช่วงอายุ ตั้งแต่แรกเกิด ถึง 18 ปี !

การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยรุ่น เพราะนอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังวางรากฐานไปสู่สุขภาพช่องปากที่ดีในอนาคตด้วยครับ การจัดฟันเด็กก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เข้ามามีบทบาทในบางช่วงวัย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและเตรียมพร้อมฟันแท้ให้ขึ้นอย่างเหมาะสม

การดูแลฟันเด็กในแต่ละช่วงอายุ
การดูแลฟันเด็กจะเปลี่ยนไปตามพัฒนาการของฟันและช่องปากในแต่ละวัย:

1. แรกเกิด - 6 เดือน (ก่อนฟันซี่แรกขึ้น)
ช่วงนี้ยังไม่มีฟันขึ้น แต่การดูแลช่องปากเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสุขภาพเหงือกที่ดี

การดูแล: ใช้ผ้าก๊อซสะอาดหรือผ้านุ่มชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เช็ดทำความสะอาดเหงือก ลิ้น และกระพุ้งแก้มเบา ๆ หลังการให้นม (ทั้งนมแม่และนมผง) เพื่อขจัดคราบนมและแบคทีเรีย

สิ่งที่ควรระวัง: ไม่ควรให้เด็กหลับคาขวดนม เพราะน้ำนมจะค้างอยู่ในปากและเพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุเมื่อฟันขึ้น

2. 6 เดือน - 3 ปี (ฟันน้ำนมเริ่มขึ้น - ขึ้นครบ)
ฟันน้ำนมซี่แรกมักจะขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน และจะขึ้นครบ 20 ซี่เมื่ออายุประมาณ 2.5 - 3 ปี

การดูแล:

เมื่อฟันซี่แรกขึ้น ให้ใช้แปรงสีฟันสำหรับเด็กเล็กที่มีขนแปรงนุ่มพิเศษและหัวแปรงขนาดเล็ก (เท่าปลายนิ้วก้อย) แปรงฟันให้เด็กวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน

ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สำหรับเด็กในปริมาณน้อยมาก (ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี) เพื่อป้องกันฟันผุ หากเด็กยังบ้วนปากไม่เป็น ไม่ต้องกังวลเรื่องการกลืน เพราะปริมาณฟลูออไรด์น้อยมาก

งดการดูดนมจากขวดเมื่ออายุ 1 ปี หรือไม่ควรเกิน 18 เดือน ควรเปลี่ยนให้เด็กดื่มนมจากแก้วแทน

ไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก: ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์เด็กครั้งแรกเมื่อฟันซี่แรกขึ้น หรืออย่างช้าที่สุดไม่เกินอายุ 1 ขวบ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และทันตแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลฟันอย่างถูกวิธี

การจัดฟัน: ยังไม่มีการจัดฟันในวัยนี้ แต่ทันตแพทย์จะเฝ้าระวังความผิดปกติของการสบฟันหรือโครงสร้างกราม

3. 3 - 6 ปี (วัยอนุบาล - ฟันน้ำนมครบชุด)
เป็นวัยที่เด็กเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น และเตรียมตัวเข้าสู่การผลัดฟัน

การดูแล:

ให้เด็กแปรงฟันเองโดยมีผู้ปกครองช่วยดูแลและแปรงซ้ำอีกครั้ง ควรใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสม (เท่าเมล็ดถั่วเขียวสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี) สอนให้บ้วนปากและบ้วนยาสีฟันทิ้ง

สอนการใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันที่ชิดกัน

จำกัดขนมหวานและน้ำอัดลม และให้ดื่มน้ำเปล่าเป็นหลัก

ไปพบทันตแพทย์สม่ำเสมอ: ควรพาไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพฟัน เคลือบฟลูออไรด์ และทันตแพทย์อาจพิจารณาเคลือบหลุมร่องฟันในฟันกรามน้ำนมหากมีความเสี่ยงฟันผุสูง

การจัดฟัน:

ยังไม่ถึงวัยที่ต้องจัดฟัน แต่ทันตแพทย์จะเริ่มสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ฟันหน้ายื่นมาก, ฟันกัดคร่อม (Underbite) หรือ ฟันสบไขว้ (Crossbite) ซึ่งอาจต้องพิจารณาแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่ซับซ้อนในอนาคต

4. 6 - 12 ปี (วัยประถม - ฟันผสม)
เป็นช่วงวัยสำคัญที่ฟันน้ำนมเริ่มหลุดและฟันแท้เริ่มขึ้น (ฟันแท้ซี่แรกคือฟันกรามซี่ที่ 6 มักขึ้นตอนอายุ 6 ปี)

การดูแล:

เน้นความสำคัญของการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน เพราะฟันแท้ที่เพิ่งขึ้นยังอ่อนแอ และเสี่ยงต่อฟันผุสูง

เคลือบหลุมร่องฟัน (Pit and Fissure Sealant): ทันตแพทย์จะพิจารณาเคลือบหลุมร่องฟันกรามแท้ซี่ที่ 6 และ 7 ทันทีที่ขึ้นเต็มซี่ เพื่อป้องกันฟันผุในร่องลึกของฟัน

ดูแลเรื่องอาหารการกิน

ไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

การจัดฟันเด็ก (Orthodontic Phase I หรือ Interceptive Orthodontics):

เป็นช่วงวัยที่สำคัญในการพิจารณา "การจัดฟันแบบบางส่วน" หรือ "การจัดฟันระยะที่ 1"

วัตถุประสงค์: เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างกระดูกขากรรไกร หรือปัญหาการสบฟันที่รุนแรงในระยะเริ่มแรก เพื่อให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมีพื้นที่เพียงพอและขึ้นในตำแหน่งที่เหมาะสม ลดความซับซ้อนของการจัดฟันในอนาคต


ปัญหาที่พบบ่อย:

ฟันหน้ายื่นมาก: เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุฟันหัก

ฟันกัดคร่อม (Underbite): กรามล่างยื่นกว่ากรามบน อาจต้องใช้เครื่องมือดึงกรามบน หรือยับยั้งกรามล่าง

ฟันสบไขว้ (Crossbite): ฟันบนสบเข้าด้านในของฟันล่าง

ฟันขึ้นไม่เป็นระเบียบเนื่องจากพื้นที่ไม่พอ: อาจใช้เครื่องมือขยายขากรรไกร หรือถอนฟันน้ำนมบางซี่เพื่อเปิดพื้นที่

เครื่องมือ: มักใช้เครื่องมือถอดได้ (Removable Appliances) หรือเครื่องมือติดแน่นบางส่วน (Partial Braces)

5. 12 - 18 ปี (วัยรุ่น - ฟันแท้ขึ้นครบชุด)

ฟันแท้ส่วนใหญ่ขึ้นครบแล้ว (ยกเว้นฟันคุด) เป็นช่วงที่โครงสร้างใบหน้าและขากรรไกรเริ่มคงที่


การดูแล:

แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดฟัน

ดูแลเรื่องอาหาร

ตรวจสุขภาพฟันและทำความสะอาดฟันเป็นประจำ

การจัดฟันหลัก (Comprehensive Orthodontics หรือ Phase II Orthodontics):

เมื่อฟันแท้ขึ้นครบแล้ว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาการสบฟันที่ไม่เหมาะสม และความผิดปกติของแนวฟัน

วัตถุประสงค์: เพื่อเรียงฟันให้เป็นระเบียบสวยงาม การสบฟันถูกต้อง และได้ผลลัพธ์ที่คงที่ในระยะยาว

เครื่องมือ: มักใช้เครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น (Braces) ทั้งแบบโลหะ เซรามิก หรือการจัดฟันแบบใส (Invisalign)

กรณีซับซ้อน: หากมีปัญหาโครงสร้างขากรรไกรที่รุนแรงและไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่เด็ก อาจต้องพิจารณาร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกรในผู้ที่โตเต็มที่แล้ว


ความสำคัญของการพบทันตแพทย์จัดฟันตั้งแต่เด็ก

การพาเด็กไปพบ ทันตแพทย์จัดฟัน (Orthodontist) ตั้งแต่เนิ่นๆ (แนะนำประมาณ 7 ขวบ หรือเมื่อฟันแท้ซี่แรกขึ้น) เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทันตแพทย์จะสามารถ:

ประเมินพัฒนาการของฟันและกระดูกขากรรไกร: ดูแนวโน้มปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

แก้ไขปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น: หากพบความผิดปกติที่อาจรุนแรงในอนาคต เช่น กรามผิดปกติ การสบฟันผิดปกติ ทันตแพทย์สามารถเริ่มการจัดฟันระยะที่ 1 เพื่อป้องกันปัญหาซับซ้อนและลดระยะเวลาการจัดฟันในอนาคต

วางแผนการรักษาที่เหมาะสม: หากยังไม่จำเป็นต้องจัดฟัน ทันตแพทย์จะแจ้งและติดตามผลเป็นระยะ

การดูแลฟันเด็กในแต่ละช่วงวัยและการปรึกษาทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ลูกหลานของคุณมีรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพช่องปากที่ดีไปตลอดชีวิตครับ

11
ขนาดของท่อลมร้อน ส่งผลต่อการใช้งานหรือไม่

ใช่ครับ! ขนาดของท่อลมร้อนส่งผลโดยตรงอย่างมากต่อประสิทธิภาพและการใช้งานของระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบทำความร้อน, ระบบปรับอากาศ, ระบบระบายอากาศ, หรือระบบส่งลมร้อนในกระบวนการผลิตต่างๆ การเลือกขนาดท่อที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ผลกระทบของขนาดท่อลมร้อนต่อการใช้งาน

การไหลของลมและแรงดันตก (Airflow and Pressure Drop):

ท่อเล็กเกินไป:

ลมแรงเกินไป / สภาวะลมอั้น: หากท่อเล็กเกินกว่าปริมาณลมที่ต้องการส่ง จะทำให้เกิด "สภาวะลมอั้น" คล้ายกับการจราจรติดขัดบนถนนที่แคบเกินไป ลมจะถูกบีบให้ไหลด้วยความเร็วที่สูงเกินไป

แรงดันตกสูง (High Pressure Drop): การไหลของลมในท่อขนาดเล็กจะเผชิญกับแรงเสียดทานที่ผนังท่อสูงขึ้นมาก ทำให้เกิดการสูญเสียแรงดัน (Pressure Drop) ที่สูงขึ้น

พัดลมทำงานหนัก: เพื่อที่จะเอาชนะแรงดันตกที่สูงขึ้น พัดลมจะต้องทำงานหนักขึ้น ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ ค่าไฟที่เพิ่มสูงขึ้น และ พัดลมมีอายุการใช้งานสั้นลง

เสียงดัง: ความเร็วลมที่สูงเกินไปในท่อขนาดเล็กจะทำให้เกิด เสียงดังผิดปกติ ซึ่งอาจรบกวนการทำงานหรือการอยู่อาศัย

ลมร้อนไม่ถึงจุดที่ต้องการ: ในบางกรณี ลมอาจถูกส่งไปไม่ถึงปลายทางด้วยปริมาณหรืออุณหภูมิที่เหมาะสม

ท่อใหญ่เกินไป:

ลมช้าเกินไป: หากท่อใหญ่เกินความจำเป็น ลมจะไหลด้วยความเร็วที่ต่ำเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพในการส่งลมร้อนลดลง

สิ้นเปลืองพื้นที่และต้นทุน: ท่อขนาดใหญ่ต้องใช้พื้นที่ในการติดตั้งมากขึ้น และมีต้นทุนการผลิต/ติดตั้งที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น (เช่น ค่าวัสดุ, ค่าฉนวนหุ้มท่อ)

ปัญหาการสะสมสิ่งสกปรก: ความเร็วลมที่ต่ำเกินไปอาจทำให้ฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกสะสมในท่อได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพอากาศหรือประสิทธิภาพของระบบในระยะยาว

ประสิทธิภาพการทำความร้อน/ทำความเย็น:

ในระบบ HVAC (Heating, Ventilation, Air Conditioning) หากขนาดท่อไม่เหมาะสม จะส่งผลโดยตรงต่อการกระจายลมร้อน/เย็นที่ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ห้องบางส่วนร้อนหรือเย็นไม่พอ

การสูญเสียความร้อน/ความเย็นในท่ออาจเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น หากลมไหลช้าเกินไปในท่อที่ไม่มีฉนวน หรือฉนวนไม่ดีพอ

การควบคุมอุณหภูมิ:

การควบคุมอุณหภูมิของลมร้อนที่ส่งไปตามท่อจะทำได้ยากขึ้นหากขนาดท่อไม่เหมาะสม เพราะจะส่งผลต่อความเร็วและปริมาณลมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกระทบต่อการถ่ายเทความร้อน

ต้นทุนรวมของระบบ:

ต้นทุนเริ่มต้น: ท่อขนาดใหญ่จะมีราคาสูงกว่า แต่การเลือกท่อที่เล็กเกินไปเพื่อประหยัดต้นทุนเริ่มต้น อาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ค่าไฟ) ที่สูงกว่าในระยะยาว

ต้นทุนการติดตั้ง: ท่อขนาดใหญ่ขึ้นอาจติดตั้งยากขึ้นและมีน้ำหนักมาก อาจต้องมีโครงสร้างรองรับเพิ่มเติม

ต้นทุนการซ่อมบำรุง: ระบบที่ทำงานภายใต้แรงดันสูงหรือมีการสึกหรอจากการทำงานหนักบ่อยครั้ง อาจต้องการการซ่อมบำรุงบ่อยขึ้น

การคำนวณและออกแบบขนาดท่อลมร้อน

การกำหนดขนาดท่อลมร้อนที่เหมาะสมนั้นเป็นกระบวนการทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน ต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่:

ปริมาณลมที่ต้องการส่ง (Airflow Rate - CFM หรือ CMH): เป็นตัวแปรหลักในการกำหนดขนาดท่อ

ความเร็วลมที่เหมาะสม (Recommended Air Velocity): แต่ละประเภทการใช้งานจะมีช่วงความเร็วลมที่เหมาะสม เพื่อลดเสียงรบกวนและแรงดันตก

ระยะทางและรูปทรงของท่อ (Duct Length and Configuration): ความยาวท่อ, จำนวนข้องอ, จุดแยก, หรืออุปกรณ์อื่นๆ ในระบบ ล้วนส่งผลต่อแรงดันตก

วัสดุของท่อ (Duct Material): ความเรียบของผิวภายในท่อมีผลต่อแรงเสียดทาน

ข้อกำหนดด้านเสียง (Noise Criteria): ต้องออกแบบให้เสียงไม่ดังเกินไป

งบประมาณและพื้นที่ติดตั้ง: ข้อจำกัดเหล่านี้อาจมีผลต่อการออกแบบ

สรุปคือ: ขนาดของท่อลมร้อนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพ, ประหยัดพลังงาน, ความปลอดภัย, และต้นทุนการดำเนินงานของระบบ การออกแบบและเลือกขนาดท่อที่เหมาะสมควรทำโดยวิศวกรหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุดครับ

12
บริการทำความสะอาด: ทำความสะอาดแทงก์น้ำอย่างไร

ในสถานที่ที่มีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นสถานที่ที่ต้องได้รับการทำความสะอาดเป็นประจำ เพราะยิ่งมีคนมาก ก็ยิ่งทำให้เกิดความสกปรกได้ง่าย ซึ่งเราต้องดูแลรักษาความสะอาดให้มากกว่าปกติ และยังมีอีกหลายจุดที่ต้องทำให้มีความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ถังเก็บน้ำหรือแทงก์น้ำที่มีขนาดใหญ่ไว้ใช้เก็บน้ำเพื่อสำหรับไว้ใช้ภายในบ้าน โดยส่วนใหญ่แทงก์น้ำจะมีอยู่ตามบ้านเรือน หอพัก คอนโด ซึ่งต้องได้รับการทำความสะอาดเช่นกัน เพราะเป็นน้ำที่เราต้องใช้ชะล้างสิ่งสกปรก และยังเป็นบริเวณที่ทำให้เกิดความสกปรกได้ง่าย แต่เมื่อฟังดูแลการทำความสะอาดแทงก์น้ำอาจเป็นเรื่องที่ฟังดูยุ่งยาก แต่เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การทำความสะอาดส่วนอื่นๆ ภายในบ้านเลย เราควรทำความสะอาดถังเก็บน้ำอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าน้ำที่อยู่ภายในสะอาดและปราศจากแบคทีเรีย เพราะถังเก็บน้ำจะสะสมสาหร่าย ตะกอนและแบคทีเรียเมื่อผ่านการใช้งานไปนานๆ หากไม่ได้รับการดูแลอาจเป็นอันตรายแก่ผู้ใช้น้ำในบ้านได้

ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนการทำความสะอาดแทงก์น้ำและฆ่าเชื้อในแมงก์ด้วยวิธีการที่ง่ายๆที่สามรถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อเป็นแนวทางให้กับพ่อบ้านหรือแม่บ้านที่อยากจะทำความสะอาดแทงก์ด้วยตนเอง

สำหรับขั้นตอนแรกก็ไม่ยากเพียงแค่ระบายน้ำในถังเก็บน้ำ โดยการเปิดวาล์วน้ำ  ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการทำความสะอาดถังเก็บน้ำ โดยจะทำการล้างน้ำทั้งหมดออกจากถัง ให้เปิดวาล์วถังน้ำที่ด้านล่างของถังและปล่อยให้น้ำไหลไปยังตำแหน่งที่ต้องการระบายน้ำลงท่อ หรือจะเก็บน้ำไว้ในถังอื่นก็ได้ แต่หากเป็นถังเก็บน้ำแบบถาวร และมีวาล์วชะล้างอยู่ที่ฐานของถังก็ให้เปิดระบายน้ำ หรือจะใช้วิธีการตักน้ำที่ด้านล่างของถังออกมา  เนื่องจากวาล์วหรือก๊อกน้ำมักอยู่เหนือด้านล่างของถัง แต่อาจต้องตักเอาน้ำที่เหลือออกจากถังหลังจากทำการระบายน้ำไปแล้วในขั้นต้น  เมื่อน้ำที่อยู่ด้านล่างตื้นเกินไป ให้ใช้ถ้วยพลาสติกหรือแก้วกาแฟเพื่อตักออกมาได้ จากนั้นซับน้ำที่เหลืออยู่ให้หมด  เมื่อระบายน้ำออกทั้งหมดและเหลือน้ำก้นๆ ถังเพียงเล็กน้อยให้ใช้ผ้าเช็ดตัวเพื่อดูดซับน้ำที่เหลืออยู่

หลังจากนั้น ก็ทำความสะอาดด้านในถัง โดยผสมน้ำยาทำความสะอาด  เพียงผสมน้ำร้อนกับผงซักฟอกหรือน้ำยาซักผ้าเพื่อทำน้ำยาทำความสะอาด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ทำความสะอาดตะกอนที่เหลืออยู่ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย หรืออาจจะใช้วิธีการขัดล้างด้านในถัง ใช้แปรงขนหรือฟองน้ำขัดด้านในของถัง โดยใช้หรือไม่ใช้น้ำยาทำความสะอาดก็ได้ อาจต้องใช้แปรงที่มีด้ามยาวช่วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของถังด้วย แต่ควรหลีกเลี่ยงแปรงที่มีขนแปรงเหล็กหรือฟองน้ำที่ทำจากเหล็ก เพราะวัสดุเหล่านี้อาจรุนแรงเกินไปสำหรับถังเก็บน้ำแบบพลาสติก อาจจะทำให้เป็นรอยและเกิดการสะสมของเชื้อโรคได้ง่ายนั่นเอง

แต่ถ้าหากเรามีปืนฉีดน้ำความดันสูง  ก็สามารถใช้ได้เหมาะสำหรับงานบ้านส่วนใหญ่ เริ่มจากเติมน้ำยาทำความสะอาดลงไปในน้ำที่จะต่อเข้ากับปืนฉีดน้ำความดันสูง ถือไว้ประมาณสี่ฟุตจากพื้นผิวที่กำลังทำความสะอาด ขยับเข้าใกล้จนกว่าจะพบระยะทางที่เหมาะที่สุด สำหรับการกำจัดสิ่งสกปรกตะกอน แต่ก็ควรสวมแว่นตานิรภัยทุกครั้งที่ใช้งานด้วยเพื่อความปลอดภัย เพราะอาจจะกระเด็นเข้าตาได้ ซึ่งการล้างแทงก์น้ำเราก็ยังสามารถใช้เบคกิ้งโซดา เพื่อกำจัดตะกอนและสิ่งสกปรกออกจากผนังด้านในของถัง โดยโรยผนังด้วยเบคกิ้งโซดาแล้วขัดด้วยแปรงหรือฟองน้ำได้เช่นเดียวกัน

เมื่อทำความสะอาดแทงก์เสร็จแล้ว อย่าลืมทำความสะอาดมุมและข้อต่อ เพราะสารที่ตกค้างที่ติดอยู่ในบริเวณนี้ทำความสะอาดได้ยาก ให้ใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กเพื่อช่วยขัดทำความสะอาดในส่วนนี้ จากนั้นก็ล้างออกให้สะอาดทุกซอกทุกมุม หลังจากนั้น ใช้ผ้าขี้ริ้วซับตามด้านล่างของถังเพื่อทำความสะอาดบริเวณที่ยังมีตะกอนอยู่ เท่านี้ก็ได้แทงก์น้ำที่สะอาดพร้อมใช้งานได้อีกครั้ง

ทางเราอยากให้ทุกครอบครัวได้สร้างบรรยากาศภายในครอบครัวให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่เสมอ ด้วยการทำความสะอาดบ้านช่องให้น่าอยู่มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจัยหลายๆอย่างในบ้านของเรา สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี เพราะสุขภาพที่ดีสามารถทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้เรามีบริการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศภายในบ้าน ภายในอาคารต่างๆ รวมไปถึงยังมีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างสรรพสินค้า เพราะเราห่วงใยและใส่ใจในเรื่องสุขอนามัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรก

13
หมอออนไลน์: ไซนัสอักเสบ (Sinusitis)

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) คือภาวะที่มีการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกไซนัส ซึ่งเป็นโพรงอากาศที่อยู่ในกระดูกบริเวณใบหน้าและกะโหลกศีรษะที่เชื่อมต่อกับโพรงจมูก เมื่อเกิดการอักเสบ เยื่อบุโพรงจมูกไซนัสจะบวมแดง ทำให้รูเปิดของไซนัสอุดตัน มีการคั่งค้างของน้ำมูกหรือหนอง ซึ่งนำไปสู่อาการต่างๆ และการติดเชื้อแบคทีเรียตามมาได้

ตำแหน่งของไซนัส

มนุษย์มีโพรงไซนัส 4 คู่ ได้แก่:

ไซนัสหน้าผาก (Frontal Sinuses): อยู่บริเวณหน้าผาก เหนือคิ้ว

ไซนัสข้างจมูก/โหนกแก้ม (Maxillary Sinuses): อยู่บริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง (เป็นไซนัสที่ใหญ่ที่สุดและพบบ่อยที่สุดที่เกิดการอักเสบ)

ไซนัสระหว่างเบ้าตา (Ethmoid Sinuses): อยู่บริเวณระหว่างเบ้าตาทั้งสองข้าง

ไซนัสใต้ฐานสมอง (Sphenoid Sinuses): อยู่บริเวณด้านหลังโพรงจมูกลึกเข้าไปในกะโหลกศีรษะ

ประเภทของไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระยะเวลาของอาการ:

ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน (Acute Sinusitis): มีอาการน้อยกว่า 4 สัปดาห์ มักเกิดตามหลังไข้หวัดหรือภูมิแพ้

ไซนัสอักเสบกึ่งเฉียบพลัน (Subacute Sinusitis): มีอาการ 4-12 สัปดาห์

ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (Chronic Sinusitis): มีอาการนานกว่า 12 สัปดาห์ แม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม อาจเป็นต่อเนื่องหรือเป็นๆ หายๆ

ไซนัสอักเสบกำเริบซ้ำ (Recurrent Acute Sinusitis): มีอาการไซนัสอักเสบเฉียบพลันอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี โดยแต่ละครั้งมีอาการนานอย่างน้อย 7-10 วัน และมีช่วงที่อาการดีขึ้นระหว่างรอบ

สาเหตุของไซนัสอักเสบ

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไซนัสอักเสบ ได้แก่:

การติดเชื้อ:

ไวรัส: เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มักเกิดตามหลังไข้หวัด

แบคทีเรีย: เมื่อการติดเชื้อไวรัสทำให้เยื่อบุไซนัสบวมและมีน้ำมูกคั่งค้าง แบคทีเรียอาจเจริญเติบโตได้ดีและทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียตามมา

เชื้อรา: พบได้น้อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังที่รุนแรง

การแพ้: เช่น โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) ทำให้เยื่อบุจมูกบวมและรูเปิดไซนัสอุดตัน

สิ่งระคายเคือง: เช่น ควันบุหรี่ มลภาวะทางอากาศ สารเคมี

โครงสร้างของจมูกและไซนัสผิดปกติ: เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด (Deviated Septum), ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps), กระดูกเทอร์บิเนตในจมูกโต

โรคประจำตัวบางอย่าง: เช่น โรคหอบหืด, โรคซิสติกไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis), โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ปัญหาฟัน: การติดเชื้อจากฟันบนอาจลุกลามไปยังไซนัสข้างจมูกได้

อาการที่พบบ่อย

อาการของไซนัสอักเสบจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งและชนิดของไซนัสอักเสบ แต่โดยรวมมักมีอาการดังนี้:

คัดจมูก/หายใจลำบาก: รู้สึกแน่นในจมูก

น้ำมูก/เสมหะข้น: อาจมีสีขุ่น เหลือง เขียว หรือมีหนอง ไหลลงคอ (Postnasal Drip) ทำให้ระคายคอ ไอ หรือเจ็บคอ

ปวด/แน่นใบหน้า:

ไซนัสหน้าผากอักเสบ: ปวดบริเวณหน้าผาก เหนือคิ้ว

ไซนัสข้างจมูก/โหนกแก้มอักเสบ: ปวดบริเวณแก้ม ฟันบน หรืออาจปวดศีรษะ

ไซนัสระหว่างเบ้าตาอักเสบ: ปวดระหว่างดวงตา หรือรอบดวงตา

ไซนัสใต้ฐานสมองอักเสบ: ปวดศีรษะบริเวณขมับ ท้ายทอย หรือปวดในลูกตา

อาการปวดมักเป็นมากขึ้นเมื่อก้มศีรษะ หรือมีการเปลี่ยนท่าทาง

ปวดศีรษะ: อาจปวดตื้อๆ บริเวณไซนัส หรือปวดศีรษะโดยรวม

จมูกได้กลิ่นลดลง หรือไม่ได้กลิ่น

รู้สึกเหมือนมีกลิ่นเหม็นในจมูก

ไข้ (โดยเฉพาะในไซนัสอักเสบเฉียบพลัน)

อ่อนเพลีย

เจ็บคอ หรือไอ (จากเสมหะไหลลงคอ)

การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติทางการแพทย์และอาการ รวมถึงการตรวจเพิ่มเติมดังนี้:

การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจดูในโพรงจมูกและลำคอ

การส่องกล้องตรวจจมูกและไซนัส (Nasal Endoscopy): ใช้กล้องขนาดเล็กสอดเข้าไปในโพรงจมูกเพื่อดูการอักเสบ บวมแดง น้ำมูก หรือริดสีดวงจมูก

การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) บริเวณไซนัส: ให้ภาพที่ละเอียดของโพรงไซนัส เพื่อดูการอุดตัน การอักเสบ หรือความผิดปกติของโครงสร้าง

การเพาะเชื้อ (Culture): หากสงสัยการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา อาจเก็บตัวอย่างน้ำมูกหรือหนองไปเพาะเชื้อ

การทดสอบภูมิแพ้: หากสงสัยว่าภูมิแพ้เป็นสาเหตุ

การรักษา
การรักษาไซนัสอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ:

การรักษาด้วยยา:

ยาลดบวมในจมูก (Decongestants): ช่วยลดอาการคัดจมูก มีทั้งรูปแบบรับประทานและยาพ่นจมูก (ไม่ควรใช้ยาพ่นจมูกติดต่อกันเกิน 3-5 วัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการคัดจมูกกลับมาแย่กว่าเดิม)

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ใช้ในกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย มักให้ทานประมาณ 10-14 วัน หรือนานกว่านั้นสำหรับไซนัสอักเสบเรื้อรัง

ยาสเตียรอยด์พ่นจมูก (Nasal Corticosteroids): ช่วยลดการอักเสบและบวมของเยื่อบุจมูกและไซนัส เหมาะสำหรับไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือมีภูมิแพ้ร่วมด้วย

ยาแก้แพ้ (Antihistamines): ใช้ในกรณีที่มีอาการแพ้ร่วมด้วย

ยาละลายเสมหะ (Mucolytics): ช่วยให้น้ำมูกหรือเสมหะข้นเหลวน้อยลง และขับออกได้ง่ายขึ้น

ยาแก้ปวด: สำหรับบรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดใบหน้า

การล้างจมูก (Nasal Irrigation/Saline Rinse): ใช้น้ำเกลือล้างโพรงจมูก เพื่อช่วยล้างน้ำมูก สารคัดหลั่ง และสารก่อภูมิแพ้ ช่วยลดอาการบวมและอักเสบได้ดี

การผ่าตัด (Surgery): พิจารณาในกรณีที่ไซนัสอักเสบเรื้อรังรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา หรือมีปัญหาทางกายภาพ เช่น ริดสีดวงจมูก ผนังกั้นจมูกคด การผ่าตัดที่นิยมคือ การผ่าตัดส่องกล้องโพรงจมูกและไซนัส (Endoscopic Sinus Surgery - ESS) เพื่อขยายรูเปิดไซนัส ระบายหนอง และแก้ไขความผิดปกติของโครงสร้าง

การดูแลตัวเองและการป้องกัน

พักผ่อนให้เพียงพอ: เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว

ดื่มน้ำมากๆ: เพื่อช่วยให้น้ำมูกเหลวลงและขับออกได้ง่ายขึ้น

หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง: เช่น ควันบุหรี่ มลภาวะ ฝุ่นละออง

ควบคุมโรคภูมิแพ้: หากมีภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์

ล้างมือบ่อยๆ: เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ (Humidifier): อาจช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้นขึ้น

หากมีอาการไซนัสอักเสบที่รุนแรง เป็นเรื้อรัง หรือไม่ดีขึ้นหลังจากดูแลตัวเองแล้ว ควรรีบปรึกษาแพทย์ หู คอ จมูก เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมค่ะ

14
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ (Gastritis)

กระเพาะอาหารอักเสบ (กระเพาะอักเสบ ก็เรียก) หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ในปัจจุบันได้แบ่งกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นชนิดเยื่อบุกร่อน (erosive gastritis) ชนิดเรื้อรัง (chronic/nonerosive gastritis) และชนิดจำเพาะ (specific types of  gastritis) โรคนี้พบได้ในคนทั่วไป พบมากในผู้ที่กินยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยาแก้ปวดข้อ) ดื่มสุราจัด และผู้สูงอายุ

สาเหตุ

1. กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน เยื่อบุกระเพาะอาหารจะมีลักษณะแดงและกร่อน เป็นแผลตื้น ๆ หลายแห่ง อาจมีภาวะเลือดออก จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเลือดออก (hemorrhagic gastritis) มักมีสาเหตุจาก

    ยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งแอสไพรินและยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
    แอลกอฮอล์
    ภาวะร่างกายเครียดเฉียบพลัน เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวกรุนแรง บาดเจ็บรุนแรง การผ่าตัด ภาวะช็อก ภาวะไตวาย ภาวะตับวาย เป็นต้น
    พบร่วมกับโรคตับแข็งที่มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง (portal hypertension)

2. กระเพาะอาหารอักเสบชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ วินิจฉัยจากการตรวจชิ้นเนื้อ แบ่งออกเป็น

ก. ชนิดเอ จะมีความผิดปกติตรงส่วนต้น (fundus) ของกระเพาะอาหาร มีสาเหตุจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune) มักมีภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดวิตามินบี12 (pernicious anemia) ร่วมด้วย เพราะไม่สามารถดูดซึมวิตามินชนิดนี้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

ข. ชนิดบี จะมีความผิดปกติตรงส่วนปลาย (antrum) ของกระเพาะอาหาร แต่ก็อาจลุกลามไปทั่วกระเพาะอาหาร มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ ชื่อ เฮลิโคแบกเตอร์ไพโลไร หรือ "เอชไพโลไร" (Helicobacter pylori/H.pylori) เชื้อนี้สามารถติดต่อโดยการกินอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ติดเชื้อ แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังจากเชื้อชนิดนี้มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น (แผลเพ็ปติก) และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

3. กระเพาะอาหารอักเสบชนิดจำเพาะ พบร่วมกับโรคต่าง ๆ เช่น การติดเชื้อราหรือเชื้อไวรัสในผู้ป่วยเอดส์ การติดเชื้อวัณโรค ซิฟิลิส พยาธิ การถูกสารเคมี เป็นต้น

อาการ

มีอาการปวดแสบตรงใต้ลิ้นปี่ หลังกินอาหารอาจทุเลาหรือเป็นมากขึ้นก็ได้ หรือมีอาการจุกแน่นตรงใต้ลิ้นปี่หลังกินข้าว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือท้องเดินร่วมด้วย

ในรายที่เป็นชนิดเยื่อบุกร่อน อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ โดยจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ มักมีประวัติการกินยา ดื่มสุราจัด หรือมีภาวะเครียดก่อนมีเลือดออก

บางรายอาจไม่มีอาการแสดงจนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก โลหิตจาง


ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจกลายเป็นแผลกระเพาะอาหาร หรือมีภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร (อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ เมื่องดยาและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วเลือดมักหยุดออกได้เอง มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีเลือดออกมากจนต้องให้เลือด)

ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ ส่วนการตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติ

แพทย์จะวินิจฉัยได้แน่ชัดโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหาร (gastroscopy) และตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรในกระเพาะอาหาร


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีอาการแสบท้องหรือปวดท้องตอนดึก หรือจุกเสียดแน่นท้องหลังอาหารหรือมีประวัติกินยาแอสไพริน หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แพทย์จะให้ยาลดการสร้างกรดกลุ่มโปรตอนปั๊มป์ (เช่น โอเมพราโซล, แพนโทพราโซล, แลนโซพราโซล, ราบีพราโซล เป็นต้น) นาน 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยต้องงดดื่มแอลกอฮอล์ และยาที่อาจทำให้กระเพาะอาหารอักเสบ

2. ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ แพทย์จะรับตัวรับไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจต้องให้เลือด และตรวจหาสาเหตุโดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ (endoscopy) แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

3. ในรายที่กินยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือเป็นเรื้อรัง หรือน้ำหนักลด จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม โดยการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะลำไส้ ตรวจชิ้นเนื้อกระเพาะอาหาร แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ในกรณีที่เป็นกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังจากเชื้อเอชไพโลไร (H.pylori) จะให้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดร่วมกันนาน 7-14 วันเพื่อกำจัดเชื้อ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดจุกแน่นตรงใต้ลิ้นปี่ กินยาลดกรด 2-3 ครั้งแล้วไม่ทุเลา หรือมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกระเพาะอาหารอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

2. ติดตามการรักษากับแพทย์ตามนัด

3. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    กินอาหารทีละน้อย แต่บ่อยมื้อขึ้น
    หลีกเลี่ยงอาหารมัน ของทอด อาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัด
    งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มกาเฟอีน และน้ำอัดลม
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ใช้แก้ปวด แก้ปวดข้อ)

4. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดท้องมาก อาเจียน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ซีด ตาเหลือง คลำได้ก้อนในท้อง กินยารักษา 1 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดสังเกตที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ (เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปากแห้ง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินหรือท้องผูก เป็นต้น)


การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุได้ ซึ่งบางชนิดป้องกันได้ บางชนิดป้องกันไม่ได้

สำหรับคนทั่วไป อาจป้องกันการเกิดกระเพาะอักเสบกลุ่มที่พบได้บ่อย ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการดื่มสุรามาก ถ้าจะดื่ม ควรดื่มในปริมาณเล็กน้อยเป็นครั้งคราว
    หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ใช้แก้ปวด แก้ปวดข้อ) ด้วยตัวเองอย่างพร่ำเพรื่อ ในกรณีที่จำเป็น ควรให้แพทย์ตัดสินใจและแนะนำการใช้ที่ปลอดภัย
    ป้องกันการติดเชื้อเอชไพโลไร ด้วยการกินอาหารที่ปรุงสุก และหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระ

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่กินยาแอสไพริน หรือยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ทุกราย ให้สังเกตสีของอุจจาระเป็นประจำ ถ้าเป็นสีดำต้องรีบกลับไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลโดยเร็ว ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ทราบว่าอาการถ่ายดำเป็นอาการเลือดออกในกระเพาะลำไส้ มักปล่อยให้เลือดออกมากจนมีอาการอ่อนเพลีย ซีด เป็นลม จึงค่อยไปโรงพยาบาล ซึ่งมักจะต้องให้เลือด และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

2. มะเร็งกระเพาะอาหารระยะแรก (ซึ่งพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีมากกว่าวัยที่ต่ำกว่า 40 ปี) อาจมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย (dyspepsia หรือ "โรคกระเพาะ") หรือกระเพาะอาหารอักเสบ และอาการสามารถทุเลาด้วยยาต้านกรดและยาลดการสร้างกรด แต่ต่อมาเมื่อแผลมะเร็งลุกลามมากขึ้น การใช้ยาจะไม่ได้ผล และจะมีอาการน้ำหนักลด อาเจียน หรือถ่ายดำตามมาได้ ดังนั้น หากรักษา "โรคกระเพาะ" โดยวินิจฉัยจากอาการแสดง 2 สัปดาห์แล้วไม่ดีขึ้น  มีอาการกำเริบบ่อย หรือพบในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์ให้ทำการตรวจพิเศษ (เช่น ส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะลำไส้) เพื่อแยกแยะสาเหตุให้แน่ชัด หากพบว่าเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจะได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ซึ่งได้ผลดีกว่าพบในระยะลุกลามแล้ว

15
สักการะ หลวงพ่อโต ซำปอกง ทำบุญ วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร วัดศักดิ์สิทธิ์ ในกรุงเทพ

วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่และสำคัญริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพมหานคร ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและโดดเด่นด้วย พระพุทธไตรรัตนนายก หรือที่ชาวจีนนิยมเรียกว่า "หลวงพ่อโต ซำปอกง" ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นอย่างมากค่ะ

ความสำคัญและสิ่งที่น่าสนใจของวัดกัลยาณมิตรฯ
วัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ซึ่งเป็นผู้ถวายที่ดินและเป็นผู้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา จึงเป็นที่มาของชื่อวัด "กัลยาณมิตร"

พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต ซำปอกง):

เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยองค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง

หลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีนที่เรียกท่านว่า "ซำปอกง" ซึ่งหมายถึง "เจ้าพ่อซำปอกง" หรือ "เจ้าพ่อสามบ๋วย" (หมายถึง เจิ้งเหอ ขันทีนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง) เนื่องจากมีพุทธลักษณะที่คล้ายคลึงกับพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ในวัดกัลยาณมิตรที่เมืองหนานจิง ประเทศจีน

ผู้คนนิยมมาขอพรเรื่อง การเดินทางปลอดภัย, การค้าขายเจริญรุ่งเรือง, โชคลาภ, ความสำเร็จในชีวิต และมักจะมาแก้บนด้วยการจุดประทัด

พระอุโบสถ:

เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ปางป่าเลไลยก์) ซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถ

ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามและรายละเอียดมากมาย

หอระฆัง:

มีระฆังใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (ในสมัยนั้น) ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ระฆังใหญ่" ที่ใช้เรียกบริเวณนี้ในอดีต

บรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา:

วัดกัลยาณมิตรฯ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้มีบรรยากาศที่ร่มรื่นและสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้สวยงาม

เป็นจุดที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาและอาคารต่างๆ ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

การเดินทางและการเตรียมตัว
ที่ตั้ง: ตั้งอยู่บนถนนอรุณอมรินทร์ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร

การเดินทาง:

เรือด่วนเจ้าพระยา: เป็นวิธีที่สะดวกและได้บรรยากาศมากที่สุด ลงที่ ท่าเรือวัดกัลยาณมิตร (เป็นท่าเรือของวัดโดยเฉพาะ)

รถไฟฟ้า MRT: ลงสถานี สนามไชย แล้วต่อรถแท็กซี่/Grab หรือรถตุ๊กตุ๊กไปไม่ไกล (ประมาณ 2-3 กิโลเมตร)

รถเมล์: มีหลายสายที่ผ่านถนนอรุณอมรินทร์บริเวณใกล้เคียง

แท็กซี่/Grab: สามารถเรียกไปได้โดยตรง

เวลาทำการ: เปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 17.00 น. (โดยประมาณ ควรตรวจสอบอีกครั้งก่อนเดินทาง)

ค่าเข้าชม: เข้าชมฟรี

ข้อแนะนำเพื่อการเยี่ยมชมที่ดีที่สุด
แต่งกายสุภาพ: สวมเสื้อผ้าที่ปิดไหล่และเข่า (เสื้อมีแขน กางเกงหรือกระโปรงยาว) เพื่อแสดงความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ช่วงเวลาที่เหมาะสม: ควรไปในช่วงเช้าตรู่ หรือช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอากาศร้อนจัดและผู้คนหนาแน่น

กราบสักการะหลวงพ่อโต: ไม่ควรพลาดที่จะเข้าไปกราบสักการะหลวงพ่อโต ซำปอกง ในพระวิหารหลวง เพื่อความเป็นสิริมงคล

ถ่ายภาพ: วัดกัลยาณมิตรฯ มีมุมถ่ายภาพที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะพระวิหารหลวงและวิวริมแม่น้ำ

ทำบุญ: ภายในวัดมีจุดทำบุญต่างๆ ให้ได้ร่วมสร้างบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล

การมาเยือนวัดกัลยาณมิตรฯ จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงความศรัทธาอันแรงกล้า ประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และความงดงามของสถาปัตยกรรมไทยที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมจีนได้อย่างลงตัวค่ะ

หน้า: [1] 2 3 ... 61