แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 58
1
คอนโดติดรถไฟฟ้า แอสปาย รัชโยธิน (Aspire Ratchayothin)
เริ่มต้น 2.19 ลบ. - 2.69 ลบ.

แอสปาย รัชโยธิน (Aspire Ratchayothin)
เตรียมพบกับคอนโดใหม่ใจกลางเมืองล่าสุด ตอบโจทย์ได้กับทุกรูปแบบในการใช้ชีวิต ด้วย Unit Layout รูปแบบใหม่ล่าสุดจากเอพี เพียง 350 ม. จากสถานีรัชโยธิน เร็วๆ นี้

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            แอสปาย รัชโยธิน (Aspire Ratchayothin)
 เจ้าของโครงการ       เอพี (ไทยแลนด์)
 แบรนด์ย่อย            แอสปาย
 ราคา                    เริ่มต้น 2.19 ลบ. - 2.69 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.         เริ่มต้น 88,000 บ./ตร.ม.
 ลักษณะทำเล               คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด             Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี             สตูดิโอ, 1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                ตั้งแต่ 25.00 ถึง 35.00 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                5 ไร่ 35 ตร.ว.
 จำนวนตึก                    3 อาคาร
 จำนวนชั้น                     8 ชั้น
 จำนวนห้อง                   633 ยูนิต 1 ร้านค้า
 ที่จอดรถทั้งหมด             ประมาณ 191 คัน (รวมช่องจอด EV Charger)
 ค่าบำรุงส่วนกลาง            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค                สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, อื่นๆ (โถงต้อนรับ, ห้องนิติบุคคลอาคารชุด, ห้องจดหมาย, พื้นที่จัดสวน, พื้นที่ทํางานร่วมกัน, EV Charger), Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         ลาดพร้าว, จตุจักร, ประชาชื่น
 ที่ตั้ง        42 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:             ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม, สถานี(หมอชิต - คูคต)(รัชโยธิน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
เมเจอร์ รัชโยธิน
เซ็นทรัล ลาดพร้าว
ตลาดบางเขน
โรงเรียนหอวัง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
โรงพยาบาลเปาโล เกษตร
โรงพยาบาลวิภาวดี

2
การยืดอายุการใช้งานของระบบการทำงานท่อลมร้อน ในโรงงาน

การยืดอายุการใช้งานของระบบท่อลมร้อนในโรงงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน ลดความถี่ในการซ่อมบำรุง และรักษากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การดำเนินการอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว

นี่คือมาตรการหลักๆ ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบท่อลมร้อนในโรงงาน:

1. การออกแบบและการเลือกวัสดุตั้งแต่เริ่มต้น (Initial Design & Material Selection)

นี่คือรากฐานสำคัญของการยืดอายุการใช้งาน

เลือกวัสดุท่อที่เหมาะสมกับอุณหภูมิและองค์ประกอบลมร้อน:
ใช้วัสดุที่สามารถทนอุณหภูมิสูงสุดของลมร้อนได้อย่างต่อเนื่อง (เช่น สแตนเลสสำหรับอุณหภูมิสูงมาก หรือเหล็กคาร์บอน/เหล็กชุบสังกะสีสำหรับอุณหภูมิปานกลาง)
พิจารณาว่าลมร้อนมีสารเคมี, ความชื้น, หรือฝุ่นปนเปื้อนหรือไม่ เพื่อเลือกวัสดุที่ทนทานต่อการกัดกร่อนและการสึกหรอ
ออกแบบให้มีขนาดเหมาะสม:
ขนาดท่อที่เหมาะสมกับปริมาณลมและความเร็วลม จะช่วยลดการสูญเสียแรงดัน ลดการสึกหรอจากการเสียดสี และลดภาระของพัดลม

ออกแบบระบบรองรับการขยายตัวและหดตัว (Thermal Expansion):
ติดตั้ง ข้อต่ออ่อน (Expansion Joints) ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงขนาดของท่อเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นและต่ำลง ป้องกันการเกิดความเค้นต่อโครงสร้างท่อและจุดยึด
ออกแบบฉนวนกันความร้อนที่เพียงพอ:
เลือกชนิดและความหนาของฉนวนที่เหมาะสม เพื่อลดการสูญเสียความร้อน ลดอุณหภูมิพื้นผิวท่อ และลดความเค้นจากอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างภายในและภายนอกท่อ


2. การติดตั้งที่ได้มาตรฐาน (Standardized Installation)

การติดตั้งที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมเป็นสิ่งจำเป็น

การเชื่อมต่อที่แน่นหนาและถูกต้อง:
ใช้เทคนิคการเชื่อม (Welding) หรือข้อต่อหน้าแปลน (Flanged Connections) ที่เหมาะสมกับวัสดุของท่อ และปฏิบัติตามขั้นตอนการเชื่อมต่อที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการรั่วไหลและการแตกร้าว

จุดยึดและโครงสร้างรองรับที่แข็งแรง:
ติดตั้งจุดยึดและโครงสร้างรองรับท่อตามแบบที่กำหนด และตรวจสอบให้มั่นคงแข็งแรง สามารถรับน้ำหนักท่อ (รวมฉนวน), แรงดันลม, และแรงสั่นสะเทือนได้ตลอดอายุการใช้งาน

ติดตั้งฉนวนอย่างถูกวิธี:
หุ้มฉนวนให้แนบสนิทกับท่อ ไม่มีช่องว่างหรือรอยต่อที่อากาศร้อนสามารถรั่วไหลได้ และหุ้มด้วยวัสดุป้องกันภายนอกที่ทนทานต่อความชื้นและแรงกระแทก
จัดเส้นทางท่อให้เหมาะสม:
หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ซับซ้อน มีข้องอมากเกินไป หรือมีระยะทางยาวเกินความจำเป็น เพื่อลดการสูญเสียแรงดันและการสึกหรอ


3. การบำรุงรักษาเชิงป้องกันอย่างสม่ำเสมอ (Regular Preventive Maintenance - PM)
นี่คือกุญแจสำคัญที่สุดในการยืดอายุการใช้งาน

การตรวจสอบด้วยสายตาอย่างสม่ำเสมอ (Visual Inspection):
ความถี่: ทำอย่างน้อยรายสัปดาห์หรือรายเดือน โดยผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่
สิ่งที่ตรวจสอบ: รอยรั่วตามข้อต่อ/รอยเชื่อม, สภาพฉนวน (ฉีกขาด, หลุดร่อน, โป่งพอง), สนิม, รอยร้าว, การบิดงอของท่อ, ความเสียหายที่จุดยึดและโครงสร้างรองรับ

การตรวจสอบด้วยเครื่องมือเฉพาะ (Instrumental Inspection):
ความถี่: ทำตามแผน PM (เช่น ราย 6 เดือน หรือรายปี)
สิ่งที่ตรวจสอบ:
รอยรั่ว: ใช้กล้องถ่ายภาพความร้อน (Infrared Camera) หรือเครื่องวัดอัลตราโซนิก (Ultrasonic Leak Detector) เพื่อตรวจหารอยรั่วที่อาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
อุณหภูมิพื้นผิว: ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟราเรดเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิพื้นผิวภายนอกท่อ โดยเฉพาะจุดที่สงสัยว่าฉนวนเสียหาย

การทำความสะอาด:
ทำความสะอาดภายนอกท่อและฉนวนจากฝุ่นละออง, คราบน้ำมัน, หรือสิ่งสกปรกเป็นประจำ เพื่อป้องกันการกัดกร่อนและการลดประสิทธิภาพของฉนวน
หากจำเป็นต้องทำความสะอาดภายในท่อ ต้องดำเนินการเมื่อระบบหยุดทำงานและท่อเย็นลงแล้ว
การตรวจสอบและบำรุงรักษาพัดลม/โบลเวอร์:
พัดลมที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดภาระที่เกิดกับระบบท่อ และยืดอายุการใช้งานของระบบโดยรวม


4. การจัดการความเสี่ยงและแก้ไขปัญหาทันท่วงที (Risk Management & Timely Rectification)
รายงานความผิดปกติทันที: พนักงานต้องได้รับการฝึกอบรมให้รายงานความผิดปกติใดๆ ที่พบเห็น (เช่น เสียงแปลกๆ, กลิ่นไหม้, รอยรั่ว) ไปยังฝ่ายบำรุงรักษาทันที
ซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนทันที: เมื่อพบความเสียหาย (เช่น รอยรั่ว, ฉนวนเสียหาย, ท่อร้าว) ควรรีบดำเนินการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนนั้นทันที ก่อนที่ความเสียหายจะลุกลามและส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของระบบ
ใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพ: เมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนชิ้นส่วน ต้องใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพและคุณสมบัติเทียบเท่าหรือดีกว่าของเดิม
พิจารณาการอัปเกรด: หากระบบท่อเก่ามากและเกิดปัญหาบ่อยครั้ง การพิจารณาอัปเกรดวัสดุหรือออกแบบใหม่บางส่วน อาจคุ้มค่ากว่าการซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ ไปเรื่อยๆ


5. การฝึกอบรมบุคลากร (Personnel Training)
ข้อกำหนด: ฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องทุกคนให้เข้าใจถึงวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย, ขั้นตอนการบำรุงรักษาเบื้องต้น, และการสังเกตความผิดปกติของระบบท่อลมร้อน

การนำมาตรการเหล่านี้ไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง จะช่วยให้ระบบท่อลมร้อนในโรงงานของคุณสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัย และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่ากับการลงทุนครับ

3
หมอออนไลน์: มะเร็งโพรงหลังจมูก (Nasopharyngeal cancer)

มะเร็งโพรงหลังจมูก เป็นมะเร็งที่พบบ่อย โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อชาติจีน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ประมาณ 2-3 เท่า พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบมากในช่วงอายุ 50-60 ปี

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีความสัมพันธ์กับเชื้อชาติ (พบในคนเชื้อชาติจีนมากกว่าคนไทย) และมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การติดเชื้ออีบีวี (Ebstein-Barr virus/EBV) การบริโภคอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (ซึ่งมีในเนื้อสัตว์รมควัน หมักดอง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม) การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น กำยาน ควันธูป ควันไฟจากการเผาไม้หรือหญ้า

ผู้ที่มีประวัติโรคนี้ในครอบครัวมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าคนปกติ


อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการแสดงชัดเจน ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ในระยะลุกลามแล้ว ด้วยอาการคัดแน่นจมูกข้างหนึ่ง มีน้ำมูกปนเลือด มีเลือดกำเดาไหลบ่อย หูอื้อหรือมีเสียงในหูข้างหนึ่ง (เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นท่อยูสเตเชียน) มีก้อนแข็งข้างคอขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม. (มะเร็งลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองข้างคอ) ชาและเสียวที่แก้มข้างที่เป็นมะเร็ง ตาเข เห็นภาพซ้อน (จากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาเป็นอัมพาต จากมะเร็งที่ลุกลามกดเบียดเส้นประสาท)

นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดหู หูชั้นกลางอักเสบซึ่งกำเริบบ่อย เจ็บคอ เสียงแหบ มีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด สำลักน้ำขึ้นจมูก อ้าปากไม่ขึ้น กลืนลำบาก พูดลำบาก หายใจลำบาก เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ก้อนมะเร็งอาจลุกลามไบยังบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ (ทำให้หายใจลำบาก) กลืนอาหารลำบาก

ในระยะท้าย มะเร็งมักแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ), สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชา และเป็นอัมพาต ชัก)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการใช้กระจกเล็ก ๆ หรือกล้องส่องเข้าไปในโพรงหลังจมูก และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ พร้อมทั้งทำการตรวจเลือดดูภูมิคุ้มกันต่อไวรัสอีบีวี (ซึ่งช่วยในการวินิจฉัยและติดตามผลภายหลังการรักษา) ตรวจชิ้นเนื้อต่อมน้ำเหลืองข้างคอ และทำการตรวจพิเศษ เช่น ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เอกซเรย์ปอด สแกนกระดูกดูการแพร่กระจายของมะเร็ง

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยรังสีบำบัด (การฉายรังสีหรือใส่แร่) หรือรังสีบำบัดร่วมกับเคมีบำบัด ส่วนการผ่าตัด อาจทำในกรณีที่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่คอออกไป น้อยรายที่ใช้วิธีผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งที่โพรงหลังจมูกออกไป

ผลการรักษา ถ้าเป็นระยะแรก ๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 70) แต่ถ้าเป็นระยะแพร่กระจาย มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 40


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคัดแน่นจมูกข้างหนึ่งหรือหูอื้อข้างหนึ่งเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์ ๆ, มีน้ำมูกปนเลือด, มีเลือดกำเดาไหลบ่อย, ชาและเสียวที่แก้มข้างหนึ่ง, เจ็บคอหรือปวดหูเรื้อรัง, มีก้อนแข็งข้างคอขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม. เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบและงานจิตอาสาเท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนหรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวดประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก ซีด มีเลือดออก ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน กินไม่ได้ หายใจลำบาก เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งโพรงหลังจมูกด้วยการปฏิบัติ ดังนี้

    ลดการบริโภคอาหารที่มีสารไนโตรซามีน (ซึ่งมีในเนื้อสัตว์รมควัน หมักดอง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม)
    หลีกเลี่ยงการถูกสิ่งระคายเคือง เช่น กำยาน ควันธูป ควันไฟจากการเผาไม้หรือหญ้า


ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการคัดแน่นจมูกทุกวันนานเกิน 2-3 สัปดาห์ กินยาแก้หวัดคัดจมูกไม่ทุเลา หรือมีอาการหูอื้อข้างหนึ่งร่วมด้วย พึงสงสัยว่าอาจเป็นโรคมะเร็งโพรงหลังจมูก และควรไปปรึกษาแพทย์

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

4
สร้างรายได้จากการขายอาหารตามสั่งเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกเพศทุกวัย

การขายอาหารตามสั่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเต็มเวลาหรือเป็นอาชีพเสริมด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้อง คุณสามารถดึงดูดลูกค้าและทำให้ธุรกิจอาหารเติบโตได้อย่างมีกำไร การสร้างรายได้จากการขายอาหารตามสั่งเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นอาหารที่เข้าถึงง่ายและตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกเพศทุกวัย

อย่างไรก็ตาม การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบนี่คือวิธีเริ่มต้น
1. เลือกตลาดเป้าหมาย
ก่อนที่คุณจะเริ่มต้น ให้กำหนดลูกค้าเป้าหมายของคุณ คุณกำลังให้บริการแก่พนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือครอบครัวที่มีงานยุ่งอยู่หรือไม่ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณออกแบบเมนูที่เหมาะกับความชอบและงบประมาณของพวกเขาได้

2. สร้างเมนูที่มีเอกลักษณ์และยืดหยุ่น
เมนูของคุณควรเรียบง่ายแต่ดึงดูดใจ เน้นที่เมนูที่เป็นที่นิยม ทำง่าย และปรับแต่งได้ ลองเสนอตัวเลือกต่างๆ เช่น:
อาหารผัดต่างๆ เช่น ไก่กะเพรา หมูกระเทียม
ข้าวผัดนานาชนิด
เมนูก๋วยเตี๋ยว
ทางเลือกเพื่อสุขภาพหรือมังสวิรัติ

3. ค้นหาทำเลที่ดี
หากคุณวางแผนที่จะขายจากสถานที่จริง ให้เลือกพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ใกล้สำนักงาน โรงเรียน หรือตลาด นอกจากนี้ คุณยังสามารถดำเนินการจากที่บ้านและเสนอบริการจัดส่งผ่านแอปจัดส่งอาหาร

4. เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนและราคา
หากต้องการเพิ่มผลกำไรสูงสุด ควรจัดการต้นทุนอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ซื้อวัตถุดิบเป็นจำนวนมาก ลดของเสีย และคำนวณราคาขายที่เหมาะสม คำนวณค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ และค่าจัดส่ง เพื่อกำหนดราคาที่สามารถแข่งขันได้แต่ทำกำไรได้

5. ใช้การตลาดออนไลน์
โปรโมตธุรกิจของคุณโดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ TikTok โพสต์ภาพอาหารคุณภาพสูง โปรโมต และมีส่วนร่วมกับลูกค้า นอกจากนี้ คุณยังสามารถร่วมมือกับบริการจัดส่งอาหารเพื่อขยายการเข้าถึงของคุณได้อีกด้วย

6. รักษาคุณภาพและสุขอนามัยอาหาร
ลูกค้าชื่นชอบอาหารที่สะอาด สด และอร่อย มั่นใจได้ในมาตรฐานด้านสุขอนามัย ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และรักษาความสม่ำเสมอของรสชาติ การนำเสนอที่สะอาดและเป็นมืออาชีพจะดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

7. นำเสนอบริการลูกค้าที่เป็นเลิศ
การบริการที่ดีเยี่ยมจะช่วยสร้างความภักดีของลูกค้า เป็นมิตร ตอบกลับคำติชม และเสนอโปรโมชั่นหรือส่วนลดเพื่อให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก

การขายอาหารตามสั่งสามารถเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้หากมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ การเลือกเมนูที่เหมาะสม การปรับต้นทุนให้เหมาะสม การทำตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความสำคัญกับคุณภาพ จะช่วยให้คุณสร้างธุรกิจอาหารที่ประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ที่มั่นคงได้


5
ซ่อมบำรุงอาคาร: ปัญหาน้ำรั่วจากพื้นห้องน้ำชั้น 2 เกิดจากอะไร ?

ปัญหาน้ำรั่วซึม เป็นปัญหาที่เจ้าของบ้านหลายคนต้องเผชิญ เพราะเป็นปัญหาที่มักจะพบได้บ่อย อาจจะเกิดจากวัสดุเสื่อมสภาพหรือปัญหาอื่นๆที่อยู่เหนือการควบคุม ส่วนใหญ่ปัญหาดังกล่าวนี้ อาจจะสร้างความหนักใจให้กับใครหลายๆคน เพราะนอกจ ากจะต้องเจอปัญหาน้ำซึมแล้ว ก็มักจะเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ตั้งแต่พื้นหรือผนังเกิดความชื้นจนเชื้อราหรือตะไคร่ขึ้น สีทาบ้านลอกล่อน วัสดุกรุผิวโป่งพองหรือหลุดร่วง ไปจนถึงโครงสร้างบ้านได้รับความเสียหายจากการที่เหล็กเสริมในคอนกรีตเป็นสนิม ปัญหาน้ำซึมดังกล่าวมีที่มาจากทั้งภายนอกและภายในบ้าน

โดยมีสาเหตุและแนวทางการแก้ไขต่างกันไป แต่ปัญหาน้ำรั่วที่เกิดจากพื้นห้องน้ำ หรือมีน้ำรั่วมาจากพื้นห้องน้ำชั้นสอง ก็เป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้เราไม่น้อย เพราะจะทำ ให้เกิดเชื้อรา และทำให้บ้านดูเก่าและโทรม จนบางครั้งอาจส่งกลิ่นเหม็นออกมาด้วย ซึ่งหากเกิดกรณีแบบนี้ เราควรเรียกช่างมาซ่อมและแก้ไขทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ และควรหาต้นตอของปัญหาเพื่อที่จะได้แก้ไขได้อย่างตรงจุด เพราะไม่อย่างนั้น ปัญหานี้อาจจะกลับมาอีก และจะส่งผลให้เกิดความเสียหายอื่นๆตามมาได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุของการเกิดน้ำรั่วซึมจากห้องน้ำชั้น 2 ว่าเกิดได้จากสาเหตุอะไรบ้าง เพื่อเป็นแนวทางให้กับเจ้าของบ้านที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ ได้ทำการแก้ไขได้อย่างถูกต้องและไม่ทำให้ต้องมานั่งเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

หลายครั้งที่เจ้าของบ้านอาจจะต้องเจอกับปัญหาน้ำรั่วซึมบริเวณเพดาน ยิ่งบ้านไหนมี 2 ชั้น และสังเกตเห็นร่องรอยของการรั่วซึมบนเพดานที่ตรงกับตำแหน่งของห้องน้ำชั้นสอง ให้สันนิษฐานก่อนเลยว่า น้ำที่รั่วซึมอยู่นั้น อาจจะมีสาเหตุมาจากห้องน้ำ หรือแม้ว่าหากมีการรั่วซึมทั้ง ๆ ที่ฝนไม่ได้ตก หรือไม่ได้อยู่ในช่วงหน้าฝน ก็คาดว่าน่าจะเป็นปัญหาจากน้ำภายในตัวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากท่อประปารั่ว หรือน้ำจากท่อระบายน้ำรั่ว ซึ่งมักจะเกิดในจุดที่ใกล้กับท่อเหล่านั้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรืออาจเป็นพื้นที่ทางผ่านท่อประปาและท่อระบายน้ำ ทั้งนี้ หากเป็นท่อประปารั่วสามารถสังเกตได้จากมิเตอร์น้ำว่าหมุนหรือไม่ทั้ง ๆ ที่ปิดน้ำทุกจุดแล้ว หากหมุนแสดงว่ามีจุดที่น้ำรั่ว

แต่หากเป็นท่อระบายน้ำรั่วต้องอาศัยพิจารณาจากแบบระบบสุขาภิบาลของบ้าน หรือคาดเดาเส้นทางการเดินท่อระบายน้ำที่มีอยู่ เมื่อหาตำแหน่งท่อที่เกิดปัญหารั่วพบแล้วให้ทำการซ่อมแซมให้เรียบร้อย โดยหากเป็นกรณีที่จำเป็นต้องทุบสกัดพื้นหรือผนังเพื่อซ่อมแซม อาจพิจารณาเดินท่อชุดใหม่ทดแทน สำหรับปัญหาดังกล่าว หากเกิดจากห้องน้ำบริเวณชั้นสอง อาจจะเกิดได้จากยาแนวเสื่อมสภาพ เพราะพื้นห้องน้ำเป็นส่วนที่มักจะเปียกชื้นอยู่เสมอ และเป็นส่วนที่จะต้องโดนน้ำยาทำความสะอาดพื้น คราบสบู่ แชมพู และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ทำให้กาวยาแนวเสื่อมสภาพลง และส่งผลให้น้ำหรือความชื้นลงไปใต้ร่องกระเบื้อง รั่วซึมลงไปยังชั้นล่างต่อนั่นเอง นอกจากนี้ อาจจะมีสาเหตุมาจากการปลูกสร้างบ้าน คือ เวลาปูกระเบื้องไม่ทากันซึมก่อน เพราะก่อนปูกระเบื้องห้องน้ำควรต้องทากันซึมก่อนปูกระเบื้อง เพราะห้องน้ำเป็นพื้นที่ที่เราใช้เป็นประจำวันทุกวัน ซึ่งพื้นห้องน้ำมีการไหลผ่านของน้ำแทบจะตลอดทั้งวัน

เมื่อเวลาผ่านไป ยาแนวที่เสื่อมสภาพพร้อมกับการกัดเซาะของน้ำทำให้เกิดการรั่วซึมจากพื้นห้องน้ำชั้นบนลงไปที่ฝ้าด้านล่าง ทำให้เกิดรอยด่างดำบนฝ้าเพดานตามมา และหากตรว จสอบแล้ว ไม่พบสาเหตุของการเกิดน้ำรั่วดังกล่าว ก็อาจจะเกิดจากการเจาะท่อน้ำไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างท่อกับพื้นห้องน้ำ ซึ่งช่างส่วนใหญ่มักจะนำเศษกระดาษมาอุดไว้ จากนั้นใช้ปูนซีเมนต์เทอุดบริเวณรอบท่อ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการรั่วซึมบริเวณท่อได้ง่ายน่นเอง

อย่างไรก็ตาม ทางเรามีบริการ ติดตั้งระบบประปา ออกแบบท่อน้ำในอาคาร ติดตั้งสุขภัณฑ์ในห้องน้ำในอาคาร และระบบจัดการแบบครบวงจร โดยเราจะท ำการประเม ินวิเคราะห์และออกแบบวางแผนบำรุงรักษา ไม่เพียงแผนการซ่อมแซมตามปกติที่ต้องเข้าดูแลอย่างรวดเร็วเท่านั้น การวางแผน ซ่อมบำรุงเชิงป้องกันที่ระเอียดรอบคอบและยังได้กำหนดไว้ในทุกโครงการ เพื่อให้ผลการบริหารจัดการของอาคารที่มีประสิทธิภาพอยู่ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล ภายใต้ความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร

6
10 สัญญานอันตราย อาการโรคมะเร็ง

ส่วนใหญ่แล้วอาการเจ็บป่วยต่างๆ มักจะส่งสัญญาณให้รู้ตัวเพื่อให้หาทางรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งอาการโรคมะเร็งก็เช่นกัน สัญญาณเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถบ่งบอกได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะละเลยกับความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แล้วจะมีสัญญาณความเปลี่ยนแปลงของร่างกายใดบ้างที่บ่งบอกให้เราทราบได้ว่าเรากำลังเผชิญหรือเสี่ยงกับโรคมะเร็ง


มีก้อนเนื้อเกิดขึ้นในร่างกาย

การที่ร่างกายของเรามีก้อนเนื้อแปลกปลอมเกิดขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นอาการโรคมะเร็งได้ เช่น มะเร็งเต้านมในผู้หญิง เป็นต้น หากกดคลำเจอก้อนเนื้อแปลกปลอมจึงควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยละเอียด


อาการไอ และเสียงแหบแห้ง

หากมีอาการไอต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะนานเกิน 8 สัปดาห์ ก็อาจจะเป็นอาการโรคมะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้เช่นกัน


ความผิดปกติ ในระบบย่อยอาหาร

อาการโรคมะเร็งมะเร็งลำไส้ใหญ่จะส่งผลให้ระบบการย่อยอาหารเกิดความผิดปกติ รวมทั้งระบบขับถ่ายก็จะผิดปกติตามไปด้วย ดังนั้นถ้าหากรู้สึกว่าอาหารไม่ย่อยบ่อยๆ หรือเกิดอาการท้องผูกที่รุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าอาการเหล่านั้นไม่ใช่สัญญาณของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่


ความผิดปกติในกระเพาะปัสสาวะ

หากปัสสาวะแล้วมีความรู้สึกเจ็บ หรือมีเลือดปนออกมาในปัสสาวะ อาจเป็นอาการโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งในไต หรือต่อมลูกหมากได้


อาการปวดแบบไร้สาเหตุ

อาการปวดบางชนิดที่เรื้อรัง อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอย่างมะเร็งได้ อาทิ มะเร็งกระดูก หรือ มะเร็งรังไข่


เจ็บคอเรื้อรัง

อาจจะเป็นอาการโรคมะเร็งกล่องเสียง หรือมะเร็งในลำคอได้ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่คิดว่าอาการเจ็บคอเป็นสัญญาณอันตรายใดๆ และไม่คิดจะพบแพทย์ ซึ่งความชะล่าใจแบบนี้ทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ทันเวลา ฉะนั้นอย่าวางใจกับอาการเจ็บคอเรื้อรัง


น้ำหนักลดโดยไร้สาเหตุ

การที่มีน้ำหนักลดลงมากกว่า 5 กิโลกรัมขึ้นไปนั้น เป็นสัญญาณที่สำคัญอันดับแรกๆ ของโรคมะเร็งหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งปอด หรือโรคมะเร็งในหลอดอาหาร


กลืนอาหารลำบาก

เมื่อกลืนอะไรได้ลำบากจะเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทหรืออาการแพ้ต่างๆ แต่นี่ก็เป็นอาการโรคมะเร็งได้เช่นกัน โดยเฉพาะโรคมะเร็งในหลอดอาหาร หรือโรคมะเร็งในลำคอ ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าวบ่อยมากจนเกินไป ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย


เลือดออก

เลือดออกถือเป็นอาการที่น่ากลัวและอันตราย รวมทั้งเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งได้อีกด้วย เช่น การไอเป็นเลือด ก็อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปอด หรือการอุจจาระหรือปัสสาวะปนเลือดก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งในระบบขับถ่ายได้เช่นกัน นอกจากนี้การที่ผู้หญิงมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นประจำเดือน อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคมะเร็งปากมดลูก ฉะนั้นไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีที่มีเลือดออกโดยไม่มีสาเหตุ

เกิดการเปลี่ยนแปลงของไฝบนผิวหนัง

การเกิดไฝบนผิวหนังบางชนิด ก็เป็นสัญลักษณ์ของโรคมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน โดยไฝที่บ่งบอกถึงโรคมะเร็งผิวหนังนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้ง่าย โดยอาจจะมีขนาดที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว หากปล่อยไว้นานมะเร็งผิวหนังก็ลุกลามจนการรักษาเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตไผ่ที่เกิดขึ้นตามร่างกายอยู่เสมอ ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติก็ควรไปหาแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจวินิจฉัย

อาการโรคมะเร็งทั้ง 10 อย่างข้างต้นนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถ้าหากเราหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในร่างกายอย่างสม่ำเสมอโรคมะเร็งที่ว่าอันตรายและน่ากลัวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถในการรักษาของแพทย์อย่างแน่นอน รวมทั้งการเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคทั้งผู้ที่มีความเสี่ยงและไม่มีความเสี่ยง สามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้โดยส่งข้อมูลข้างล่างได้เลย

7
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส เสี่ยงทำให้เชื้อโรคเข้าช่องปากได้หรือไม่

การจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้การรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถทราบผลการรักษาล่วงหน้าได้ ทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของลักษณะฟันได้เป็นอย่างดี ดังนั้น การจัดฟันแบบจึงได้รับความนิยมมาก เพราะนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันแล้ว การจัดฟันแบบใส ยังช่วยทำให้การใช้ชีวิตประจำง่ายขึ้นด้วย ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ส่งผลให้ฟันของผุ้เข้ารับการรักษาสวยงามได้แม้อยู่ในช่วงของการจัดฟัน พร้อมทั้งยังช่วยทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น


ทั้งตอนรับประทานอาหารและในการทำความสะอาดช่องปากและฟัน นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใสยังมีข้อจำกัดที่น้อยกว่าการจัดฟันแบบทั่วไป เพราะเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้ ทำให้มีความสะดวกสบาย แต่ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์กำหนดไว้ ซึ่งการถอดเข้าออกของเครื่องมือการจัดฟัน หลายคนอาจจะกังวลว่า จะทำให้เราเกิดความเสี่ยงในการนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากหรือไม่ วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสุ่ช่องปากของเรา โดยมีเครื่องมือการจัดฟันเป็นพาหะ

ซึ่งในการจัดฟันแบบใส เราต้องบอกก่อนว่า ถึงแม้เครื่องมือการจัดฟันจะสามารถถอดออกได้ แต่มีความสะดวกในการทำความสะอาดช่องปากและฟัน แต่ในเรื่องของการทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันทั้งก่อนและหลังการใช้งาน ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หลายคนที่เคยสวมใส่รีเทนเนอร์อาจจะเคยสัมผัสกับประสบการณ์ที่ต้องถอดรีเทนเนอร์ออกกอ่นขณะรับประทานอาหารหรือขณะแปรงฟัน


ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เราเผลอลืมได้ บางคนใช้วิธีการเก็บรีเทนเนอร์ขณะรับประทานอาหารด้วยการนำกระดาษทิชชู่มาห่อไว้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้มักจะพบได้บ่อยมากในกลุ่มผุ้ที่เข้ารับการจัดฟันและสวมใส่รีเทนเนอร์ ต้องอธิบายก่อนว่า การนำเอาทิชชู่มาห่อรีเทนเนอร์ หรือเครื่องมือการัดฟันแบบใสนั้น เป็นวิธีการที่ผิด เพราะทิชชู่ที่เรานำมาห่ออาจจะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ไม่สะอาด  ซึ่งเสี่ยงต่อการที่เรานำเอาเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากได้ บางคนอาจจะเผลอลืมจนที่ร้านอาหาร นำเอาไปทิ้งในถังขยะ ซึ่งนั่นเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคชั้นดีเลยทีเดียว


ดังนั้น เราควรที่ดูแลรักษาความสะอาดของเครื่องมือการจัดฟันที่ถูกต้อง ควรมีกล่องที่ใช้สำหรับเก็บเครื่องมือการจัดฟัน เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยของผู้เข้ารับการจัดฟัน ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของการนำเชื้อโรคเข้าสู้ช่องปาก เพียงแค่เราจะต้องรักษาความสะอาดของเครื่องมือการจัดฟัน รวมไปถึงกล่องหรือที่เก็บเครื่องมือการจัดฟันจะต้องมีความสะอาดด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ลดความเสี่ยงของการสัมผัสเชื้อโรค


หากสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามาถติดต่อขอรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้ ตามมาตรฐานสากล

8
บ้านโครงการใหม่ 2025 ธีรินทร์ทาวน์ ราชพฤกษ์ - พระราม 5 (Teerin Town Ratchapruek - Rama 5)
เริ่มต้น 3.95 ลบ. 

ธีรินทร์ทาวน์ ราชพฤกษ์ - พระราม 5 (Teerin Town Ratchapruek - Rama 5)
โครงการธีรินทร์ทาวน์ ราชพฤกษ์-พระราม 5 ทาวน์โฮม 2 ชั้น สไตล์ Modern British Colonial ที่ผ่านการออกแบบอย่างพิถีพิถัน พร้อมคลับเฮ้าส์สองชั้นสไตล์ British Colonial เรียบหรู สัมผัสความสะดวกสบายด้วยฟังก์ชันที่ครบครัน สะดวกทุกการใช้ชีวิต บนทำเลราชพฤกษ์ - พระราม 5

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                    ธีรินทร์ทาวน์ ราชพฤกษ์ - พระราม 5 (Teerin Town Ratchapruek - Rama 5)
 เจ้าของโครงการ               ธีรินทร์กรุ๊ป
 แบรนด์ย่อย                    ธีรินทร์ทาวน์
 ราคา                            เริ่มต้น 3.95 ลบ.
 ประเภทบ้าน                  ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล                 บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ                14 ไร่ 2 งาน 66 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน                    149 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด             2 แบบ
  เนื้อที่บ้าน                    ตั้งแต่ 19.2 ถึง 21.7 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย                  ตั้งแต่ 124 ถึง 141 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                       2 ชั้น
 หน้ากว้าง                        5.7 ม.
 จำนวนห้องนอน                3 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ                2 คัน
 สาธารณูปโภค                 สวนสาธารณะ (สวนส่วนกลาง), คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (ระบบรักษาความปลอดภัย 2 ชั้น, EV Charger), Keycard System

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง         ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก (ด่านบางบำหรุ), ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก (ด่านตลิ่งชัน))
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนราชพฤกษ์, ถนนกาญจนาภิเษก, ถนนบรมราชชนนี)


 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า
1. แม็คโคร นครอินทร์ 0.8 กม.
2. ตลาดพระราม 5 6 กม.
3. เดอะคริสตัล ราชพฤกษ์ 7 กม.
4. ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์วิลล์ 7 กม.
5. ศูนย์การค้าเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ 10 กม.
6. โลตัส บางใหญ่ 11 กม.

โรงพยาบาล
1. โรงพยาบาลศูนย์บริการการแพทย์นนทบุรี 4 กม.
2. โรงพยาบาลยันฮี 8 กม.
3. โรงพยาบาลศรีสวรรค์ ราชพฤกษ์ 10 กม.
4. โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ (การุญเวชเดิม) 12 กม.
5. โรงพยาบาลธนบุรี 14 กม.

สถานศึกษา
1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 5 กม.
2. มหาวิทยาลัย ราชพฤกษ์ 5 กม.
3. โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี 10 กม.

การเดินทางอื่นๆ
1. สะพานพระราม 5 1.5 กม.
2. สะพานพระราม 7 5 กม.

9
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดฟัน ฟันผุ (Dental caries/Tooth decay)

ฟันผุ (แมงกินฟัน ฟันเป็นแมง ฟันเป็นรู ฟันเป็นโพรง) เป็นโรคที่พบได้ประมาณร้อยละ 80 ของคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่ชอบกินน้ำตาลหรือของหวานและไม่ได้แปรงฟันให้สะอาด

สาเหตุ

เกิดจากการมีเศษอาหารค้างอยู่ตามซอกฟัน หรือมีน้ำตาล (จากอาหารที่กิน) ค้างคาอยู่ในปาก สัมผัสถูกฟันเป็นเวลานาน ทำให้แบคทีเรีย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Streptococcus mutans) ที่อยู่บนแผ่นคราบฟัน* ย่อยสลายเศษอาหารพวกแป้งและน้ำตาลให้เกิดเป็นสารกรดซึ่งสามารถกัดกร่อนผิวฟันทีละน้อย จากชั้นเคลือบฟันภายนอกเข้าไปในเนื้อฟัน จนทะลุถึงชั้นโพรงประสาทฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน หรือฟันอักเสบเป็นหนอง

*แผ่นคราบฟัน (dental plaque) หรือแผ่นคราบจุลินทรีย์ เป็นแผ่นคราบบาง ๆ เกาะอยู่ที่ซอกฟัน คอฟัน ร่องฟัน ประกอบด้วยเมือกเหนียวของน้ำลายและเชื้อโรคหลายชนิด ถ้าไม่ได้รับการทำความสะอาด ปล่อยให้แผ่นคราบฟันสะสมพอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะกลายเป็นสาเหตุของฟันผุ และเหงือกอักเสบได้


อาการ

ในระยะแรกจะมีอาการปวดเสียวฟันเล็กน้อยเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด

ถ้าฟันผุมากขึ้น อาจมีเศษอาหารติดอยู่ในโพรงทำให้มีกลิ่นปากได้

ถ้าฟันผุจนถึงชั้นโพรงประสาท (ชั้นในสุด) ก็จะทำให้โพรงประสาทอักเสบ มีอาการปวดฟันรุนแรงเวลากินของหวาน ของเย็นจัด หรือร้อนจัด บางรายอาจมีอาการปวดแปลบ ๆ ซึ่งบ่งบอกตำแหน่งของฟันที่ปวด ถ้าปล่อยไว้จนรากฟันอักเสบเป็นหนองก็จะทำให้มีอาการปวดฟันรุนแรง


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าฟันผุไม่มาก โดยทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ถ้าฟันผุมาก มีอาการปวดฟันหรือการอักเสบบ่อย ๆ อาจทำให้กินอาหารไม่ได้ ร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ หรืออาจทำให้เกิดการอักเสบในช่องปาก เช่น คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ เป็นต้น

ถ้ารากฟันเป็นหนองอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามกลายเป็นไซนัสอักเสบ หรือโลหิตเป็นพิษได้

ที่ร้ายแรงคือ อาจทำให้มีการติดเชื้อรุนแรงของเนื้อเยื่อ (cellulitis) บริเวณขากรรไกรและใต้ลิ้น เรียกว่า ลุดวิกแองไจนา (Ludwig’s angina) ทำให้เกิดอาการบวมบริเวณใต้คางและใต้ขากรรไกร 2 ข้าง ผิวหนังออกสีน้ำตาล มีลักษณะแข็งเป็นดานและกดเจ็บ เนื้อเยื่อใต้ลิ้นที่บวมจะดันลิ้นขึ้นข้างบนและไปข้างหลัง ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ร่วมด้วย ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยจะมีอาการอ้าปาก กลืน และพูดลำบาก และอาจทำให้หายใจลำบาก อาจเสียชีวิตจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจ หรือโลหิตเป็นพิษได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบฟันผุเป็นรู บางรายพบรากฟันอักเสบเป็นหนอง แก้มบวมปูด อาจมีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองในบริเวณคอบวมและปวด


การรักษาโดยแพทย์

ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันหรือถอนฟัน

ขณะที่มีอาการปวด ให้กินยาแก้ปวดระงับชั่วคราว ถ้ามีการอักเสบหรือเป็นหนอง ให้ยาปฏิชีวนะ


การดูแลตนเอง

หากมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน ฟันผุ ควรปรึกษาแพทย์ หรือทันตแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าฟันผุ ควรดูแลรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ และติดตามการรักษากับทันตแพทย์ตามนัด 

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการอมหรือจิบของกินที่มีน้ำตาล (เช่น ทอฟฟี่ ลูกอม น้ำตาล น้ำผึ้ง ของหวาน น้ำหวาน น้ำผลไม้ นม เป็นต้น) ต่อเนื่องนาน ๆ หากกินของเหล่านี้หลังกินควรรีบบ้วนปากทันที อย่าให้มีน้ำตาลตกค้างอยู่ในปาก ผู้ที่ฟันผุง่ายควรลดการกินของเหล่านี้

2. แปรงฟันให้ถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน (dental floss silk) ขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง และหลังกินอาหารทุกครั้งควรบ้วนปากทันที

3. ใช้ฟลูออไรด์ อาจเป็นในรูปของยาเม็ด ยาอมบ้วนปาก หรือยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ถ้าใช้ชนิดกิน ควรปรึกษาทันตแพทย์ถึงขนาดและวิธีการใช้ เพราะถ้าใช้มากไปอาจทำให้ฟันตกกระ หรือกินขนาดสูงมาก ๆ อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ ฟลูออไรด์จะเสริมสร้างผิวเคลือบฟันให้แข็งแรง แต่จะได้ผลดีสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 14 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันกำลังเจริญเติบโต

4. ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6-12 เดือน


ข้อแนะนำ

1. อาการปวดฟัน นอกจากสาเหตุจากฟันผุแล้วยังอาจเกิดจากฟันคุด (impacted tooth) ซึ่งหมายถึง ฟันกรามซี่สุดท้าย (ซี่ในสุด) โผล่ขึ้นไม่ได้ เนื่องจากขากรรไกรของคนเราเล็กลง ฟันซี่นี้ปกติจะขึ้นตอนอายุ 17-25 ปี เมื่อขึ้นได้ไม่สุด ทำให้บริเวณนั้นมีซอกให้อาหารติดค้าง เป็นเหตุให้บางครั้งมีการอักเสบ และปวดบวมตรงบริเวณรอบ ๆ ฟันซี่นั้น บางรายอาจมีไข้ขึ้น มักเกิดกับฟันกรามล่างซี่ในสุดทั้ง 2 ข้าง

ถ้าสงสัยควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อถอนออก ระหว่างที่ปวดอาจให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาแก้ปวดและยาปฏิชีวนะ

2. ผู้ที่เป็นโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของประสาทสมองเส้นที่ 5 (trigeminal nerve) ที่เลี้ยงบริเวณใบหน้าและศีรษะ พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี อาจมีอาการเหมือนปวดเสียวฟัน เนื่องจากถูกกระตุ้นด้วยการแปรงฟัน การเคี้ยวอาหาร หรือการดื่มน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัด จึงอาจไปหาทันตแพทย์ ซึ่งอาจตรวจไม่พบความผิดปกติ หรือหากบังเอิญพบมีความผิดปกติเล็กน้อย (เช่น ฟันผุ) ก็อาจได้รับการทำฟันแล้วอาการปวดไม่ดีขึ้น กรณีเช่นนี้แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ทางระบบประสาท

10
โรงงานไม่ติดฉนวนกันความร้อนหลังคา เสี่ยงเจอปัญหาอะไรบ้าง

เมื่อพูดถึง ฉนวนกันความร้อน สำหรับโรงงานแล้วนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ฉนวนกันความร้อนเครื่องจักร ห้องควบคุมที่ปล่อยอุณหภูมิสูง หรือไม่ก็ฉนวนสำหรับระบบปรับอากาศภายในโรงงาน แต่จุดหนึ่งที่หลาย ๆ คนมักมองข้ามกันไปก็คือ “หลังคาโรงงาน” ที่จัดเป็นบริเวณที่ต้องการฉนวนกันความร้อนไม่แพ้จุดอื่น ๆ

เนื่องจากรับแสงแดดและความร้อนจากดวงอาทิตย์ตลอดทั้งวัน จึงทำให้หากไม่มีฉนวนในจุดนี้ ความร้อนจะทะลุผ่านเข้ามาในโรงงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการไม่มีฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาโรงงานนั้น จะเสี่ยงทำให้ผู้ประกอบการต้องเจอกับปัญหากวนใจหลายประการ ดังต่อไปนี้

1.ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น

ยิ่งมีความร้อนสะสมเข้ามาภายในโรงงานเป็นจำนวนมากเท่าไร ยิ่งอุณหภูมิภายในพื้นที่โรงงานสูงมากขึ้น ระบบปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรทุกอย่างภายในโงงานจะต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งแม้ทุกคนจะสัมผัสไม่ได้ถึงความร้อนที่สะสมเข้ามา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กลับกันเลยที่พลังงานจะถูกรีดออกมาใช้อย่างมหาศาล ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแบบไม่รู้ตัว จนสุดท้ายแล้วยิ่งปล่อยนานวันไปในระยะยาวต้นทุนในกระบวนการผลิตของโรงงานจะยิ่งสูงขึ้น กำไรจะยิ่งหดหายไปจนถึงขั้นทำอาจขาดทุนแบบไม่รู้ตัวเลยก็ได้


2.เครื่องจักรเสี่ยงชำรุดเร็วขึ้น

เมื่อความร้อนสะสมภายในโรงงานมากขึ้น เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศทั้งหมดภายในโรงงานทำงานหนักขึ้นแล้วนั้น จะไม่ใช่เพียงแค่ทำให้โรงงานเปลืองไฟมากขึ้นอย่างเดียว แต่จะเป็นการเร่งอายุการใช้งานของทุกอุปกรณ์ภายในโรงงานให้เสื่อมสภาพเร็วขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเมื่อมีอุปกรณ์ใดหนึ่งเสียหายแล้ว แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม บำรุงหรือเปลี่ยนใหม่จะตามมาด้วยเรื่อย ๆ

ซึ่งสิ่งที่อันตรายที่สุดคือ หากเครื่องจักรในกระบวนการผลิตสำคัญเกิดความเสียหายขึ้นล่ะก็ จะไม่เพียงแค่ค่าซ่อมเท่านั้นที่ต้องจ่าย แต่อาจทำให้การผลิตสินค้าของโรงงานล่าช้า ส่งมอบไม่ทันกำหนด จนสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าไปได้ หรืออาจจะต้องเสียค่าปรับจำนวนมหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้เลยทีเดียว


3.พนักงานทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ

ขนาดเครื่องจักรที่เป็นเหล็กแกร่งเจอความร้อนสะสมเข้าไปมาก ๆ ยังขัดข้องหยุดทำงานได้ นับประสาอะไรกับร่างกายและจิตใจพนักงานที่หากต้องทนทำงานภายใต้อุณหภูมิความร้อนสะสมที่สูงแล้ว แน่นอนว่าความเหนื่อยล้า หงุดหงิดจะต้องมีเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งเมื่อสภาพร่างกายและจิตใจของพนักงานไม่พร้อม ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะด้อยลง

ซึ่งสำคัญและอันตรายไปกว่านั้นก็คือ อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นได้ง่ายมากขึ้น ทั้งความเสียหายต่อกระบวนการผลิต และความเสียหายต่อร่างกาย สุขภาพของพนักงานเองด้วย ซึ่งทุกความเสียหายนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย แต่จะซ้ำร้ายที่สุดถ้าพนักงานบาดเจ็บ ประสบอุบัติเหตุแล้วนำไปสู่การตรวจสอบพบว่า ผู้ประกอบการไม่ได้ควบคุมอุณหภูมิภายในพื้นที่ปฏิบัติงานให้เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด ก็จะกลายเป็นคดีความฟ้องร้องใหญ่โตตามมาได้ ซึ่งหากเรื่องราวบานปลายไปจนถึงจุดนั้น สิ่งที่โรงงานจะต้องสูญเสียก็จะไม่ใช่แค่ค่าเสียหายจากค่าปรับอย่างเดียว แต่ความเชื่อถือเชื่อมั่นที่ลูกค้าเคยมีก็จะถูกทำลายลงไปด้วย ซึ่งไม่สามารถประเมินความเสียหายได้เลย

ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานหลังคาโรงงาน ถือเป็นสิ่งที่โรงงานทุกประเภททุกขนาดจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นจุดพื้นที่ขนาดใหญ่ที่แบกรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ไว้ตลอดทั้งวัน ยิ่งถ้าหลังคาโรงงานทำมาจากแหล็กหรือวัสดุที่มีคุณสมบัติในการดูดซับความร้อนได้มากด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้โรงงานร้อนได้ง่ายมากขึ้นและนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้

11
จัดฟันบางนา: วิธีการแปรงฟัน และการใช้ไหมขัดฟันระหว่างจัดฟัน

แน่นอน ! ว่าหลังจากติดเครื่องมือ จัดฟัน แล้วจะมีเศษอาหารติดฟันได้ง่ายกว่าปกติ และการทำความสะอาดฟันทำได้ยากขึ้นด้วย อาจจะนำมาซึ่งฟันผุ ซึ่งทุกๆ คนคงไม่อยากให้เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วหลังจากติดเครื่องมือจัดฟันไป ต้องใส่ใจทำความสะอาดช่องปากมากกว่าเดิม

การแปรงฟัน

    เลือกใช้แปรงสีฟันที่อ่อนนุ่ม
    เริ่มแปรงส่วนบนของเครื่องมือจัดฟัน และส่วนล่างของเครื่องมือจัดฟัน ในลักษณะการเเคลื่อนไหว เป็นวงกลมเล็กๆ

– ค่อยๆ ขยับจากฟันกรามบนขวาแปรงมาทางฟันหน้า แล้วจึงขยับไปทางฟันกรามบนซ้าย

– อย่าลืมแปรงฟันด้านเพดาน และด้านสบฟันด้วยค่อยๆ แปรงไม่ต้องรีบนะคะ

    เริ่มแปรงฟันล่างในลักษณะเดียวกัน แปรงส่วนบนของเครื่องมือจัดฟัน และส่วนล่างของเครื่องมือจัดฟัน ในลักษณะการเเคลื่อนไหว เป็นวงกลมเล็กๆ

– ค่อยๆ ขยับจากฟันกรามล่างขวา แปรงมาทางฟันหน้าล่าง แล้วจึงขยับไปทางฟันกรามล่างซ้าย

– อย่าลืมแปรงฟันด้านลิ้น และด้านสบฟันด้วยนะคะ

ในบางกรณีที่แปรงสีฟันมีขนาดใหญ่เกินไป อาจจะต้องใช้แปรงสีฟันขนาดเล็ก หรือใช้แปรงสีฟันชนิดพิเศษ มาใช้ร่วมกับแปรงสีฟันธรรมดาที่เราใช้ปรกติ มาใช้ในตำแหน่งที่แปรงธรรมดาเข้าไม่ถึง

การใช้แปรงซอกฟัน ในขณะที่จัดฟัน จะมีเศษอาหารเข้าไปติดระหว่างเครื่องมือจัดฟันได้ง่ายมาก การใช้แปรงซอกฟัน ก็มีความจำเป็นในการทำความสะอาดฟัน ลักษณะที่เรียวยาวของแปรงซอกฟัน สามารถเข้าไปตามร่องฟัน หรือซอกของเครื่องมือจัดฟันที่ แปรงสีฟันธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้


การใช้ไหมขัดฟัน

    ค่อยๆสอดไหมขัดฟันเข้าไประหว่าเครื่องมือของแต่ละซี่
    ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดด้านข้างของตัวฟัน และใต้เหงือก ในลักษณะถูขึ้นลงอย่างเบาๆ
    ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งนะคะ

ในบางกรณีที่ไหมขัดฟันนิ่มสอดได้ยาก อาจจะต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า ที่สอดไหมขัดฟัน ร่วมด้วย


12
มอเตอร์โชว์ 2025: พีที สเตชั่น จับมือ โป๊ยเซียน จัดแคมเปญ “เพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง” แจกยาดม 20,000 หลอด เติมความสดชื่นเต็ม MAX

บริษัท ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันพีที ในกลุ่ม บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) จับมือกับ บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยาดมตรา โป๊ยเซียน ร่วมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่สดชื่นและใส่ใจยิ่งขึ้น ผ่านกิจกรรมในแคมเปญ เพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง แจก ยาดมตราโป๊ยเซียน 20,000 ชิ้น
 
สำหรับลูกค้าสมาชิก PT Max Card เติมน้ำมันชนิดใดก็ได้ 800 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับฟรี ยาดมตราโป๊ยเซียน 1 ชิ้น (มูลค่า 24 บาท) ที่สถานีบริการน้ำมันพีทีที่ร่วมรายการ ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ถึง 5 มิถุนายน 2568 หรือจนกว่าของจะหมด

 ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ กรรมการและที่ปรึกษาฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย), นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากขวา) และ ดร.ธีจุฑา ประสาทแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ขวาสุด)
 
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) และ ดร.ธีจุฑา ประสาทแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ปิโตรเลียมไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด พร้อมด้วย ดร.ณัฐพงศ์ ลาภบุญทรัพย์ กรรมการและที่ปรึกษาฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ บริษัท โกลด์ มิ้นท์ โปรดักส์ จำกัด กล่าวถึงแคมเปญนี้ว่า เป็นการสื่อสารความตั้งใจร่วมกันในการส่งต่อความห่วงใยและกำลังใจให้ทุกคนมีพลังพร้อมเดินหน้าต่อ โดย พีที สเตชั่น พร้อมเป็นเพื่อนคู่ใจทุกการเดินทาง เพื่อให้คนไทย อยู่ดีมีสุข

13
การลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากการใส่สายยางให้อาหารสายยาง

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการทำกิจกรรมการพยาบาลทุกๆกิจการจะสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อน อุบัติเหตุ หรือความเสี่ยงต่างๆได้ หากเราพูดถึงการใส่สายยางให้อาหารแก่ผู้ป่วย เป็นกิจกรรมการพยาบาลที่ดูง่ายขั้นตอนไม่ยุ่งยากมากนัก แต่หัตถการการใส่สายยางให้อาหาร เป็นกิจกรรมการพยาบาลที่พบบ่อยได้ในโรงพยาบาลและมีความเสี่ยงหรือมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้ เนื่องจากเป็นวิธีการใส่สายยางเข้าผ่านรู้จมูกลงสู่กระเพาะอาหาร สามารถทำให้เกิดไซนัสอักเสบ

การระคายเคืองท่อบุทางเดินหายใจ หรือแม้แต่สายยางทะลุหลอดอาหาร ทางเดินหายใจอุดกั้น เป็นต้น ความเสี่ยงทั้งหลายเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นมาตั้งแต่ขณะใส่และถอดสายยางให้อาหาร แม้จะมีความเสี่ยงเหล่านี้ไม่มากนัก แต่เมื่อพบว่าหากเกิดขึ้นแล้วมีโอกาสความรุนแรงถึงขั้นสามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ดังนั้นผู้ดูแลหรือพยาบาลจำเป็นจะต้องลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ จะต้องเชี่ยวชาญในวิธีการใส่ขั้นตอนความสะอาดเป็นหลักสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงลดอัตราการเจ็บป่วยอัตราการเสียชีวิต เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับแผนการรักษาของแพทย์ให้ครบถ้วน ในการเกิดความเสี่ยงในปัจจุบันจากการสายยางให้อาหารผ่านรูจมูกนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจัดการใส่ผิดตำแหน่งแล้วทำให้เกิดอันตราย เช่น ปอดอักเสบจากการสำลักแต่เพียงอย่างเดียว


แต่การใส่สายยางให้อาหารมีโอกาสเกิดความเสี่ยงเป็นอันตรายได้ตั้งแต่ในขณะใส่และถอดสายยางได้ แม้ว่าเราจะพบว่าความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้นค่อนข้างได้น้อย พยาบาลหรือผู้ดูแลจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทและหน้าที่สำคัญในการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยตลอดการรักษาพยาบาล เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของการใส่เสียงให้อาหารต้องการให้ผู้ป่วยได้รับอาหารน้ำและยาได้ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ หรือลดแรงดันในกระเพาะอาหารลำไส้โดยเฉพาะในรายที่มีลมในกระเพาะอาหารมาก และยังเพื่อดูดเอาสารตกค้างหรือสารผนังในกระเพาะอาหารไปตรวจ และเพื่อนสวนล้างกระเพาะอาหารในกรณีผู้ป่วยกินสารพิษเข้าไป วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการลดความเสี่ยงเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนคนต่างแก่ผู้ป่วยที่อาจสามารถเกิดขึ้นได้

การลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการสายยางให้อาหารทางจมูกนั้น เริ่มต้นจากพิจารณา เหตุผลในการใส่ สายยางให้อาหารว่าเหมาะสมกับผู้ป่วยหรือไม่ เพื่อป้องกันผู้ป่วยได้รับความเสี่ยงที่เกินความจำเป็น เช่น การระคายเคืองเยื่อบุโพรงจมูก หรือภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่จะสามารถตามมาได้หลังใส่สายยางให้อาหารแล้ว ถัดมาบันทึกข้อมูลต่างๆในการทำการให้การแก่ผู้ป่วยรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผู้ป่วยก่อนที่จะใส่สายยางให้อาหารหรือหลังให้สายยางให้อาหารแล้ว และที่สำคัญเหตุผลที่จำเป็นจะต้องใส่สายยางให้อาหารแก่ผู้ป่วย หากเกิดปัญหาขณะใส่สายยางให้อาหารเกิดเหตุการณ์ดันสายยางลงไปไม่ได้จะต้องไม่ควรพยายามดันลงไป ควรถอดสายออกมาก่อนและให้ผู้ป่วยพักหากผู้ป่วยมีอาการเจ็บก็รอให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บ จึงสามารถใส่อีกครั้งได้


เนื่องจากการฝืนการใส่สายยางให้อาหารหากมีอาการติดขัดอาจจะเข้าไปในทางกล่องเสียงสามารถเข้าปอดได้ และตรวจสอบเสมอว่าสายยางให้อาหารนั้นอยู่ในกระเพาะอาหารหรือไม่ก่อนที่จะให้อาหาร ก่อนการให้ยา หลังพบอาการไอ อาเจียนหรือเกร็ง พบว่าพลาสเตอร์หลุดออกจากสายยางที่แปะกับจมูก หรือแม้แต่พบว่าสายยางที่ออกมาจากผู้ป่วยยาวมากกว่าปกติ และพบอาการผิดปกติของระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นใหม่หรือไม่สามารถอธิบายได้ หรือแม้แต่เมื่อบ่นว่าไม่สุขสบายและรู้สึกมีอาหารขย้อนขึ้นมาในปากหรือคอ สิ่งที่ควรระมัดระวังถัดมาคือไม่ให้ล้มผ่านเข้าสู่ร่างกายทางสายยางให้อาหาร เพื่อป้องกันภาวะท้องอืดท้องแน่น ควรเปลี่ยนสายยางให้อาหารอย่างน้อยทุก 1 เดือน พร้อมกับเปลี่ยนข้างรูจมูกใหม่ และควรเปลี่ยนพลาสเตอร์ที่แปะที่จมูกทุกวัน

เมื่อพยาบาลหรือผู้ดูแลนั้นตระหนักถึงความเสี่ยงและอันตรายที่สามารถเกิดขึ้นได้ ภาวะแทรกซ้อนต่างๆก็จะเกิดขึ้นได้น้อยเนื่องจากมีการป้องกันในขั้นตอนต่างๆ ในการดูแลผู้ป่วยนั้นไม่เพียงแค่ให้ผู้ป่วยได้รับแผนการรักษาที่ครบถ้วนแต่จะต้องมีการป้องกันสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด การหมั่นตรวจสอบ มันเช็ค หรือขอดูอาการคนไข้เสมอ เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับการดูแลผู้ป่วย

14
หมอออนไลน์: ข้อเคล็ด/ข้อแพลง (Sprain) ข้อเท้าแพลง (Ankle sprain)

ข้อเคล็ดข้อแพลง คือ ภาวะผิดปกติที่เกิดจากการบาดเจ็บที่ข้อกระดูกเกิดความเสียหายต่อเอ็นกระดูก (ligament) ซึ่งเป็นมัดของเนื้อเยื่อเส้นใย (fibrous tissue) ที่ยึดเชื่อมระหว่างกระดูก 2 ชิ้น ตรงบริเวณข้อต่อต่าง ๆ

ภาวะนี้พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มักเกิดจากอุบัติเหตุขณะเล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรือทำกิจวัตรประจำวัน ทำให้ข้อเกิดการบิด หมุน หรือพลิกมากเกินจนเอ็นกระดูกเสียหาย

ข้อที่พบบาดเจ็บได้บ่อยมาก ได้แก่ ข้อเท้า (เรียกว่า "ข้อเท้าแพลง" หรือ "ข้อเท้าพลิก")

นอกจากนี้อาจพบการบาดเจ็บที่ข้อมือ ข้อเข่า  ข้อไหล่  ข้อนิ้วมือ

สาเหตุ

เกิดจากเอ็นกระดูก (ligament) ตรงบริเวณข้อกระดูกถูกยืดออกมากเกินปกติหรือฉีกขาด เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย หรืออุบัติเหตุ

ปัจจัยเสี่ยงของการบาดเจ็บจนทำให้ข้อแพลง ได้แก่ การทำกิจกรรมในสิ่งแวดล้อมที่มีความเสี่ยง (เช่น การเดินหรือวิ่งในที่มืด บนพื้นผิวที่ขรุขระ เปียกหรือลื่น หรือบนพื้นต่างระดับ การก้าวขึ้นลงบันได) กล้ามเนื้อไม่แข็งแรงหรืออ่อนล้า ไม่ได้ทำการอบอุ่นร่างกายและยืดเส้นยืดสายก่อนออกกำลังกาย การสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม (เช่น รองเท้าที่ไม่พอดีกับเท้าหรือไม่เหมาะกับกิจกรรมที่ทำ) การขาดสติ ความมึนเมา ความประมาทเลินเล่อ

สำหรับข้อเท้าแพลง นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ยังอาจเกิดจากการหกล้ม ก้าวพลาด ตกส้นสูง หรือเท้าพลิก ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน เท้าผิดรูป หรือเคยบาดเจ็บที่ข้อเท้ามาก่อน อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดข้อเท้าแพลงได้ง่ายขึ้น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเจ็บที่ข้อหลังได้รับบาดเจ็บ โดยจะเจ็บเวลาเคลื่อนไหวข้อ หรือใช้นิ้วกดถูกบริเวณที่บาดเจ็บจะรู้สึกเจ็บ และในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการข้อหลวม

อาการจะรุนแรงมากน้อยขึ้นกับระดับความรุนแรง ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1 รุนแรงเล็กน้อย เอ็นกระดูก (ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อเส้นใยหรือ fibrous tissue) มีการยืดออกมากเกินปกติ เกิดความเสียหายเล็กน้อย ข้อที่บาดเจ็บมีอาการปวดเล็กน้อย กดถูกเจ็บเล็กน้อย อาจบวมเล็กน้อยหรือไม่บวมเลย ผู้ป่วยยังสามารถขยับข้อหรือใช้งานข้อได้เป็นปกติ

ระดับที่ 2 รุนแรงปานกลาง เอ็นกระดูกมีการฉีกขาดเพียงบางส่วน (ส่วนใหญ่มักฉีกออกไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเส้นใย) ข้อที่บาดเจ็บมีอาการปวดและบวมค่อนข้างมาก กดถูกเจ็บ ขยับข้อหรือใช้งานข้อได้ค่อนข้างลำบาก

ระดับที่ 3 รุนแรงมาก เอ็นกระดูกมีการฉีกขาดตลอดทั้งเส้น หรือหลุดออกจากกระดูกที่เคยยึดข้อไว้ ข้อที่บาดเจ็บมีอาการปวดและบวมมาก ไม่สามารถขยับข้อหรือใช้งานข้อได้

สำหรับข้อเท้าแพลง ถ้ารุนแรงเล็กน้อย จะมีอาการปวดเล็กน้อยเวลาเคลื่อนไหว หรือกดถูกเจ็บที่บริเวณข้อเท้าที่แพลง ไม่มีอาการบวมหรือบวมเพียงเล็กน้อย สามารถลงน้ำหนักเท้าได้ เดินได้ปกติ

ถ้ารุนแรงปานกลาง จะมีอาการบวมและฟกช้ำร่วมด้วย ลงน้ำหนักเท้าไม่ค่อยได้ เพราะจะรู้สึกปวดทำให้เดินลำบาก

ถ้ารุนแรงมาก จะมีอาการปวด บวม และฟกช้ำมาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือลงน้ำหนักเท้าได้ เพราะจะปวดมากทำให้เดินไม่ได้

ข้อเท้าแพลงส่วนใหญ่จะพบอาการผิดปกติ (ปวด บวม) เฉพาะที่ตาตุ่มด้านนอก (ด้านนิ้วก้อย) แต่ถ้าพบความผิดปกติ (ปวด บวม) ที่ตาตุ่มทั้งด้านนอกและด้านใน (ด้านนิ้วโป้ง) มักเป็นภาวะที่รุนแรง

ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง จะไม่สามารถขยับข้อหรือใช้งานข้อได้ เคลื่อนไหวลำบาก หรือเดินลำบาก ต้องพักการใช้งานนานเป็นสัปดาห์ ๆ ถึงเป็นเดือน ๆ

ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา หรือได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรก อาจทำให้ข้อมีอาการปวดเรื้อรัง หรือบวมเรื้อรัง เอ็นกระดูกข้อต่อไม่แข็งแรงอย่างเรื้อรัง เสี่ยงต่อการเกิดข้อแพลงกำเริบซ้ำซาก และข้ออักเสบ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

ตรวจพบข้อมีลักษณะบวม กดถูกเจ็บ อาจพบว่าข้อที่บวมมีลักษณะแดง คลำดูอาจรู้สึกว่าร้อนกว่าปกติ อาจพบรอยเขียวคล้ำหรือฟกช้ำเนื่องจากหลอดเลือดฝอยแตกมีเลือดออก

ในรายที่รุนแรงอาจตรวจพบว่าข้อหลวม


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทำการรักษาและให้คำแนะนำผู้ป่วยในการปฏิบัติตัว เพื่อลดอาการปวดและบวม ได้แก่

    ประคบด้วยความเย็นทันทีหลังได้รับบาดเจ็บ เพื่อลดอาการปวดและบวม โดยการใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติก หรือเจลประคบเย็น (ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ควรใช้ผ้าห่อป้องกันผิวหนังได้รับอันตรายจากความเย็น) หรือผ้าชุบน้ำเย็นประคบ หรือแช่ข้อที่บาดเจ็บ (เช่น ข้อเท้าที่แพลง) ในภาชนะบรรจุน้ำเย็น หรือน้ำก๊อกใส่น้ำแข็ง นานครั้งละ 15-20 นาที (อย่าใช้เวลาสั้นกว่านี้อาจไม่ได้ผล หรือนานกว่านี้อาจทำให้ผิวหนังได้รับอันตรายจากความเย็น) ควรทำการประคบซ้ำ ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ตลอดทั้งวันตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอนตอนกลางคืน ทำอย่างต่อเนื่องในระยะ 48-72 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ (ในระยะนี้ไม่ควรประคบด้วยความร้อน อาจทำให้บวมมากขึ้น)
    ใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันรอบข้อที่บาดเจ็บเพื่อลดบวม โดยเริ่มพันจากส่วนปลาย (ส่วนที่อยู่ใต้ข้อ หรือที่ไกลจากหัวใจมากที่สุด) ขึ้นมา ระวังอย่าให้รัดแน่นจนเลือดไปเลี้ยงปลายมือหรือปลายเท้าไม่ได้ ควรคลายผ้าให้หลวมหากพบว่ามีอาการปวดมากขึ้น หรือมีอาการบวมหรือชาบริเวณที่อยู่ข้างใต้ที่พันผ้า ควรพันนาน 2-3 วัน หรือจนกว่าจะยุบบวม อาจถอดผ้าพันออกในช่วงเข้านอนตอนกลางคืน แต่ควรใช้หมอนหนุนยกส่วนที่บาดเจ็บให้สูงกว่าระดับหัวใจ
    ยกข้อที่แพลงให้สูงกว่าระดับหัวใจ เช่น
    - ข้อเท้าแพลง/ข้อเข่าแพลง เวลานอนก็ใช้หมอนรองเท้าให้สูง หรือเวลานั่ง ควรยกข้อเท้าวางบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง (ระวังอย่านั่งห้อยเท้า อาจทำให้บวมมากขึ้นได้)
    - ข้อมือแพลง/ข้อนิ้วมือแพลง ควรยกข้อมือ/ข้อนิ้วมือให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจโดยใช้ผ้าคล้องคอ และอย่าใช้ข้อมือข้างนั้นทำงาน (เช่น ยกของ ซักผ้า)
    ควรพักข้อที่แพลงให้มากที่สุด จนกว่าอาการปวดจะทุเลา ซึ่งอาจกินเวลาประมาณ 2-3 วัน เมื่ออาการทุเลาแล้วก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหว และบริหารข้อนั้นให้คืนสู่สภาพปกติ

สำหรับข้อเท้าแพลง/ข้อเข่าแพลง พยายามเดินให้น้อยที่สุด และเวลาเดินอาจใช้ไม้ค้ำยันช่วยให้ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าข้างที่บาดเจ็บ

    ถ้าปวด ให้กินยาแก้ปวด พาราเซตามอล หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก ไพร็อกซิแคม นาโพรเซน)

2. ถ้ามีอาการปวดหรือบวมมากขึ้น หรืออาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน หรือสงสัยเป็นข้อแพลงที่รุนแรง หรือกระดูกแตกร้าวหรือหัก ก็จะทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจดูว่ากระดูกมีความผิดปกติหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจแยกอาการข้อแพลงออกจากอาการกระดูกแตกร้าวหรือหักได้ยาก

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม ด้วยการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรืออัลตราซาวนด์ เพื่อตรวจดูความรุนแรงของโรค

สำหรับข้อเท้าแพลงรุนแรง อาจต้องใส่เฝือกดามข้อเท้า หรือใส่รองเท้าช่วยเดิน (walking boot) จนกว่าอาการจะดีขึ้นและกลับมาเดินได้เป็นปกติ

สำหรับผู้ที่มีข้อแพลงที่รุนแรงมาก หรือรักษาโดยวิธีอื่นไม่ได้ผล ซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อยอาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด

ในรายที่เป็นรุนแรงและใช้เวลาในการรักษาอยู่นาน แพทย์จะให้ทำกายภาพบำบัด ฝึกบริหารกล้ามเนื้อให้ฟื้นคืนความแข็งแรงจนใช้งานได้เป็นปกติและป้องกันไม่ให้กำเริบซ้ำ

ผลการรักษา รายที่มีอาการเล็กน้อยมักหายได้ภายใน 2 สัปดาห์ (ไม่เกิน 4 สัปดาห์) รายที่มีอาการปานกลางมักใช้เวลารักษานาน 4-6 สัปดาห์ รายที่มีอาการรุนแรงมักใช้เวลารักษานาน 6-12 สัปดาห์


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการปวดและบวมเล็กน้อย ขยับข้อได้ เดินได้เป็นปกติ ควรดูแลตนเองตามแนวทางการรักษาโดยแพทย์ดังกล่าว ได้แก่

    ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็นทันที และทำบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ตลอดตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน ในระยะ 48-72 ชั่วโมงแรก (ไม่ควรประคบด้วยความร้อน)
    ใช้ผ้าพันแผลชนิดยืด (elastic bandage) พันพอแน่น (อย่าให้แน่นเกินไป)
    ยกข้อที่แพลงให้สูงกว่าระดับหัวใจ
    พักการใช้ข้อจนกว่าอาการปวดจะทุเลา

สำหรับข้อเท้าแพลง พยายามเดินให้น้อยที่สุด และเวลาเดินอาจใช้ไม้ค้ำยันช่วยให้ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าข้างที่บาดเจ็บ

    ถ้าปวด กินยาแก้ปวด พาราเซตามอล* หรือยาที่แพทย์แนะนำ

ควรไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการปวดมากที่บริเวณข้อที่บาดเจ็บ
    มีอาการบวมมาก หรือบวมที่ตาตุ่มทั้งด้านนอกและด้านใน
    ขยับข้อหรือเคลื่อนไหวข้อลำบาก เพราะขยับแล้วทำให้ปวด
    ลงน้ำหนักเท้าไม่ได้ หรือเดินไม่ได้
    ข้อมีลักษณะผิดรูป หรือสงสัยกระดูกแตกร้าวหรือหัก
    ดูแลตนเอง 2-3 วันแล้วไม่ทุเลา
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าไปพบแพทย์ตรวจรักษา ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ไปพบแพทย์ตามนัดจนกว่าจะหายเป็นปกติ

ควรไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการปวดหรือบวมมากขึ้น ขยับข้อได้ลำบากมากขึ้น หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากการรักษา เช่น เฝือกที่ใส่รัดแน่นเกิน แผลที่ผ่าตัดติดเชื้อหรือมีเลือดออก มีอาการแพ้ยา เป็นต้น

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้  ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

หลักใหญ่ คือ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในการเล่นกีฬา การออกกำลังกาย และการทำกิจวัตรประจำวัน ดังนี้

    หมั่นออกกำลังกายและบริหารกล้ามเนื้อและเอ็นเป็นประจำ เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น
    ก่อนการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาทุกครั้ง ควรอบอุ่นร่างกาย ยืดเส้นยืดสาย
    สวมใส่รองเท้าที่พอดีกับเท้า (ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป) และเลือกให้ถูกกับกิจกรรมหรือกีฬาแต่ละอย่าง ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่หากส้นสึกชำรุด และหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง หรือถ้าจำเป็นควรมีความระมัดระวังตัวให้มาก
    ในการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บของข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยมีอาการข้อแพลงมาก่อน ควรสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันข้อไว้
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากเกินจนทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้า และหากทำกิจกกรรมจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ควรหยุดพัก
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกิน
    หลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการเดินหรือวิ่งในที่มืด หรือบนพื้นผิวที่ขรุขระ เปียก หรือลื่น
    ระมัดระวังในการขึ้นลงบันไดหรือพื้นต่างระดับ ควรจับราวบันไดหรือที่เกาะ และไม่ควรพูดคุยหรือทำอะไรที่ทำให้เผอเรอระหว่างที่ก้าวขึ้นลงบันได

ข้อแนะนำ

1. ข้อเคล็ดข้อแพลงที่มีอาการรุนแรงเล็กน้อยและขยับข้อหรือเดินได้ปกติ สามารถดูแลรักษาตนเองตามแนวทางที่แพทย์แนะนำได้ อาการมักจะดีขึ้นใน 2-3 วัน และหายขาดภายใน 2-4 สัปดาห์ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์

2. หลังได้รับบาดเจ็บควรพักข้อ และประคบด้วยความเย็นทันที เพราะจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ลดอาการปวดและบวม ควรประคบทุก 2-3 ชั่วโมง (ครั้งละ 15-20 นาที) ทำต่อเนื่องในระยะ 48-72 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ ห้ามประคบด้วยความร้อน (น้ำอุ่นจัด ๆ หรือเจลประคบร้อน) หรือทาน้ำมันมวยหรือยาทาที่ออกร้อน เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยาย เกิดอาการบวมมากขึ้นได้ และห้ามทำการนวด (ด้วยมือหรือใช้ยาทานวดใด ๆ) เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและบวมมากขึ้นได้

การประคบด้วยความร้อน แพทย์อาจจะแนะนำให้ทำในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังและหายบวมแล้วเท่านั้น

3. ในรายที่มีความรุนแรง ซึ่งขยับข้อหรือเดินไม่ได้หรือลำบากเป็นเวลาหลายวัน หลังจากแพทย์ให้การรักษาจนอาการปวดและบวมหายดีแล้ว แพทย์จำเป็นต้องทำการฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย โดยการทำกายภาพบำบัด ฝึกการออกกำลังเคลื่อนไหวร่างกาย การบริหารบริเวณข้อเท้า (เพื่อให้กล้ามเนื้อและเอ็นแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น) และฝึกการทรงตัวให้กลับมาเป็นปกติ ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีความอดทนฝึกอย่างจริงจัง เช่น อาจเกิดข้อแพลงเรื้อรังและภาวะแทรกซ้อนตามมาได้   

4. ผู้ป่วยที่เป็นข้อเท้าแพลง หลังจากให้การรักษาเบื้องต้นจนทุเลาขึ้นแล้ว และระหว่างรอเวลาฟื้นตัวสู่ปกติ อาจมีอาการปวดเวลาเดินหรือเคลื่อนไหวข้อ แพทย์จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วย โดยอาจใช้ผ้ายืดพันหรือใช้ไม้ค้ำยันช่วยให้ไม่ต้องลงน้ำหนักเท้าข้างที่บาดเจ็บขณะเดิน หรือใช้อุปกรณ์แบบสวมพยุงข้อเท้า (ankle support brace) ช่วยพยุงข้อขณะเคลื่อนไหว ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องใส่เฝือกดามข้อเท้า หรือใส่รองเท้าช่วยเดิน (walking boot) จนกว่าจะกลับมาเดินได้เป็นปกติ

15
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy S24 Ultra (12GB/512GB)
52,900 บาท

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy S24 Ultra (12GB/512GB)
วาร์ปสู่ยุคใหม่ยุคของมือถือ AI ไปกับ Galaxy S24 | S24+ นิยามใหม่ของสมาร์ทโฟน ที่ช่วยให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น สร้างสรรค์ได้มากขึ้น จัดการทุกอย่างได้ง่ายขึ้น ด้วยพลังจาก Galaxy AI ในมือคุณ

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น               ซัมซุง SAMSUNG Galaxy S24 Ultra (12GB/512GB)
   ราคากลาง            52,900 บาท
   จำนวนซิม             2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์              จอสัมผัส
   สี                     Gray(Titanium Gray), Black(Titanium Black), Blue(Titanium Blue), Green(Titanium Green), Yellow(Titanium Yellow), Violet(Titanium Violet), Orange(Titanium Orange)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                       ยาว 162.3 x กว้าง 79 x หนา 8.6 มม., น้ำหนัก 232 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)       512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด          -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ          ความจุแบตเตอรี่ 5,000 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                  จอสัมผัส (Dynamic AMOLED 2X)
   ความละเอียด           6.8 นิ้ว, 1,440 x 3,120 px
   รายละเอียดอื่น         
Color Depth (Main Display)
16M
Max Refresh Rate (Main Display)
120 Hz

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (200 Mpx), กล้องหน้า (12 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                 -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)             Octa-Core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)                 12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                 USB(Type-C 3.2 Gen 1), Bluetooth(v5.3), Jack(Type-C), NFC, Wi-Fi(802.11a/b/g/n/ac/ax/be 2.4GHz+5GHz+6GHz, EHT320, MIMO, 4096-QAM)
   ระบบรับส่งข้อความ                            -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต              3G, WiFi, 4G, 5G

หน้า: [1] 2 3 ... 58